อนุทิน บินด่วนภารกิจ หัวใจติดปีก รับหัวใจที่ รพ.ร้อยเอ็ด มาต่อลมหายใจผู้ป่วยหลายชีวิต

30 เม.ย. 67

อนุทิน ปฏิบัติภารกิจ “หัวใจติดปีก” บินด่วนรับหัวใจที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ไปต่อลมหายใจผู้ป่วยที่รอความหวัง

วันที่ 30 เมษายน 2567 เวลา 09.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยแพทย์ศัลยศาสตร์หัวใจโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้ปฏิบัติภารกิจ จิตอาสา “หัวใจติดปีก” เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวจากท่าอากาศยานดอนเมือง มายังโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เพื่อผ่าตัดรับหัวใจของนายตรีพบ ประดับศรี อายุ 43 ปี ผู้เสียชีวิตจากภาวะสมองตายเลือดออกในสมองจากภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งญาติได้บริจาคอวัยวะหัวใจ ตับ ไต และดวงตาเพื่อต่อชีวิตต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยที่รอความหวังกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง ถือเป็นทานบารมีที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่สุดแห่งการให้ครั้งสุดท้ายของชีวิต โดยมีนายชัยวัฒน์ ชัยเวชพิสิฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ดร.นพ.สุรเดช ชชวะเดช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด นายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด พร้อมคณะผู้บริหารแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ

นายอนุทิน ได้เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตมอบใบประเกียรติคุณ และพวงหรีด พร้อมมอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือแก่นางสุนีย์ ประดับศรี มารดาของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ยังได้เยี่ยมชมจุดบริการห้องฉุกเฉิน พร้อมให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยและญาติที่เข้ารับการรักษาด้วย

นางสุนีย์ ประดับศรี อายุ 63 ปี มารดาของผู้เสียชีวิตเล่าว่า นายตรีพบ ประดับศรี อายุ 43 ปี ผู้เสียชีวิตจากภาวะสมองตายก่อนลูกชายจะได้นำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น ลูกชายได้มีอาการชาไปซีกนึงและไม่สามารถพูดได้แต่รับรู้ ซึ่งวันที่เกิดเหตุมีอาการคล้าย ๆ วูบ ตอนแรกก็เรียกน้องสาวจึงได้เข้ามาดูและได้นำตัวส่งโรงพยาบาลสุวรรณภูมิทางโรงพยาบาลได้นำตัวส่งต่อที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ดซึ่งทางโรงพยาบาลได้แจ้งถึงอาการของลูกชายในการรักษาพยาบาล และในที่สุดทางโรงพยาบาลรักษาสุดความสามารถ และแจ้งทางญาติว่าไม่สามารถยื้อชีวิตของลูกชายได้ แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งให้เราทราบถึงในเรื่องของอวัยวะที่ลูกชายสามารถบริจาคที่ต่อชีวิตให้กับผู้อื่นได้คือหัวใจ ทางแม่ก็ได้ยินข่าวและดูโทรทัศน์มาบ้างจึงได้คุยกับญาติ และตัดสินใจบริจาคแต่หลังจากที่ทางแพทย์ได้ดูแล้วก็มีอวัยวะหลายอย่างที่ลูกชายบริจาคได้ ตนเองที่ทำไปก็หวังแค่ได้ทำบุญให้ลูก แล้วก็ให้ทางครอบครัวแค่นั้นเอง ซึ่งเขาเสียชีวิตไปแล้วร่างกายก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ทางโรงพยาบาลให้ข้อมูลแบบนี้ตนเองจึงตัดสินใจที่จะบริจาคให้ทางโรงพยาบาลและส่งอวัยวะต่อกับผู้อื่น

นายอนุทิน กล่าวว่าการช่วยเหลือครั้งนี้ถือว่าเป็นทานบารมีที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่สุดแห่งการให้ครั้งสุดท้ายของชีวิตแม้คนเราจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังสามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นได้อีก 8 ชีวิต ด้านศาสนา การบริจาคอวัยวะเปรียบให้ชีวิตใหม่เกิดในชาติหน้าก็จะมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์มีความพร้อมในชีวิตซึ่งอวัยวะทุกส่วนยังสามารถส่งต่อเพื่อปลูกถ่ายให้คนอื่นได้ถึง 6 คนต้องขอขอบคุณครอบครัวและญาติของผู้เสียชีวิตในครั้งนี้

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส