“พิชิต” ยันไม่ใช่ทนายถุงขนม ส่ง“เด็จพี่” ฟ้อง “อดีตกกต.สมชัย”

19 ก.ย. 66

“พิชิต ชื่นบาน” ค้านหัวชนฝาไม่ใช่ทนายถุงขนม หิ้วเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่ การได้รับตั้งเป็นที่ปรึกษานายกฯ ไม่ใช่การปลอบใจหลังพลาดเก้าอี้ รมต.รัฐบาลเศรษฐา 1 พร้อมส่ง “เด็จพี่” ฟ้อง “สมชัย ศรีสุทธิยากร”

นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดความจริงที่ไม่เคยพูดกว่า 15 ปี ย้ำว่าการได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป็นการปลอบใจหลังพลาดโอกาสนั่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐา 1 พร้อมยืนยันว่า การตรวจสอบคุณสมบัตินั้นตนเองไม่ได้ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี แต่เหตุที่ถอนตัวเนื่องจากให้รัฐบาลได้เดินหน้าทำงานให้เร็วที่สุด ส่วนตัวต้องการใช้ความสามารถในการทำงานในการ ช่วยเหลือรัฐบาลและประเทศชาติ

ทั้งนี้ การมากล่าวหาตน ถือว่ามากล่าวหาทางการเมือง เลยไม่โกรธเมื่อเราจะเข้าสู่การเมืองเราต้องพร้อมรับ ตนขอโอกาสทำงานและขอเอาผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วกระบวนการคนไกลตรวจสอบมีเมื่อตนเองทำงานแล้วหากประพฤติผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อย่างไร อยากให้พิสูจน์ตรงนั้นมากกว่า

นายพิชิต ยังขอความเป็นธรรมหลังจากนี้ที่จะเข้ามาทำงานการเมือง พร้อมเปิดเผยความจริงในรอบ 15 ปีนับตั้งแต่มีคดีการละเมิดอำนาจศาล เมื่อปี 2551 ขอยืนยันว่าไม่ใช่ “ทนายถุงขนม” เนื่องจากไม่มีเหตุจูงใจในการ นำเงินไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งในคำสั่งศาลฎีกาก็ระบุว่าเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตนเองหรือทีมทนายความของตนเองจึงไม่มีเหตุให้กระทำการตามที่กล่าวหา

ส่วนเรื่องเงินจำนวน 2 ล้านบาทที่ไปปรากฏอยู่ที่ศาล ขอยืนยันต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราช ตนเองไม่รู้เรื่องนี้ ซึ่งหากรู้เรื่องนี้จะค้านหัวชนฝา รวมทั้งแรงจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไรซึ่งในวันนั้นตนเองคุยแนวทางการต่อสู้กับลูกความ และไม่ได้ออกไปอยู่ข้างนอก ซึ่งเรื่องนี้ตนมาทราบเรื่องในภายหลัง คำสั่งที่ออกมาทั้งพนักงานสอบสวนก็มีคำสั่งไม่ฟ้อง อัยการได้ตรวจสำนวน ก็มีคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่มีความผิดฐานให้สินบน

นอกจากนี้ นายพิชิต ยังระบุว่าไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาจึงไม่ได้มีโอกาสได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งเหตุทั้งหมดเกิดในศาลฎีกาถือเป็นข้อยุติแล้ว จึงขอความเป็นธรรมให้ตนเองและขอความเป็นธรรมที่หลังจากนี้จะเดินหน้าในการนำความรู้ความสามารถในทางกฎหมายมาใช้ประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ส่วนในอนาคตหากจะได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ใหญ่

และในวันนี้ที่บริเวณหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ (เด็จพี่) ผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายพิชิต ชื่นบาน พร้อมนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ ได้เข้ายื่นฟ้อง นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ต่อศาลอาญา ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 จากกรณีที่นายสมชัย ฯ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 66 ใส่ความนายพิชิต ชื่นบาน ภายหลังที่ทราบว่านายพิชิต ฯ ได้รับแต่งตั้งให้ เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

โดยนายพร้อมพงศ์ ฯ กล่าวว่า ที่ตนมายื่นฟ้องในวันนี้ มาในฐานะผู้รับมอบอำนาจของ นายพิชิต เพื่อยื่นฟ้องและดำเนินคดีกับนายสมชัย ซึ่งก่อนยื่นฟ้องได้มีการหารือกันในประเด็น เกี่ยวกับการโพสต์และการให้สัมภาษณ์ของนายสมชัยแล้ว เห็นว่าได้โพสต์ เกี่ยวกับนายพิชิต หลายครั้ง ตั้งแต่ได้ทราบว่านายพิชิต มีรายชื่อจะได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมานายพิชิตเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นต่อบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีถือเป็นเรื่องปกติ

แต่ภายหลังเมื่อนายพิชิตได้ขอถอนตัว ทุกคนก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเดิมในอดีตของนายพิชิตอีก มีเพียงนายสมชัย เท่านั้นที่ไม่ยอมหยุด โดยยังคงให้ข้อมูลต่อสังคมแบบผิด ๆ เหมือนแกล้งไม่เข้าใจ ข้อเท็จจริง ทั้งที่นายสมชัย รู้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในเรื่องที่นายพิชิตเคยถูกศาลมีคำสั่ง ลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นอย่างดี

ด้านนายโชคชัย  อ่างแก้ว ทนายความได้สรุปประเด็นในคำฟ้องว่า สาระของคำฟ้องเป็นการชี้ให้เห็นว่าการที่นายพิชิต ได้เคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น  ไม่ใช่เป็นการติดสินบนศาลตามที่นายสมชัย  พยายามเชื่อมโยงให้สังคมเข้าใจ โดยนายโชคชัย ฯ ได้อธิบายว่า

  1. ตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 4599/2551 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ที่ลงโทษจำคุก นายพิชิต ฯ ฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า นายพิชิต ฯ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มิใช่เป็นผู้นำถุงเงินไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ศาลแต่อย่างใด กรณีที่เจ้าหน้าที่ศาลคืนถุงเงินก็มิได้คืน ให้แก่นายพิชิต แต่ศาลเห็นว่านายพิชิต ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วในภายหลัง ไม่สอบถาม รายละเอียดที่เกิดขึ้นกับคนที่นำถุงเงินไปให้ เพียงแต่ได้โทรศัพท์ไปขอโทษและปรับความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่หลังเกิดเหตุ ศาลจึงถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลและมีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล มิได้วินิจฉัยว่านายพิชิต ฯ เป็นผู้ให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาลแต่อย่างใด
  2. ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลกับความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานนั้น เป็นการ บัญญัติไว้ในกฎหมายคนละฉบับและมีองค์ประกอบความผิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 ถึง มาตรา 33 และเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งถือเป็นความแพ่งไม่ใช่คดีอาญา เป็นกรณีที่กฎหมาย กำหนดให้อำนาจศาลในการกำหนดมาตรการเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้น ส่วน ความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 นั้น เป็นความผิดทาง อาญาที่กฎหมายกำหนดองค์ประกอบความผิดไว้โดยเฉพาะ การดำเนินคดีอาญาก็ต้องเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่กำหนดให้มีการสอบสวน การ ฟ้อง การพิพากษา การอุทธรณ์และฎีกา แต่ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เพียงศาลไต่สวน ข้อเท็จจริงก็มีคำสั่งลงโทษได้เลย และเมื่อเหตุเกิดที่ศาลฎีกา จึงทำให้กรณีของนายพิชิต ไม่มี โอกาสในการอุทธรณ์คำสั่งได้ ซึ่งความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนี้ เคยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกา และความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าไม่ใช่ความผิดทางอาญา
  3. เมื่อนายพิชิต ถูกจำคุกในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จึงไม่ใช่ความผิดทางอาญา เหตุนี้นายพิชิต จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัคร ส.ส. หรือการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเมื่อการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 ก.ค. 54 นายพิชิต ก็ได้รับเลือกเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ จนถึงมีการยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 ซึ่งเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัคร ส.ส. ของนายพิชิต ฯ กรณีดังกล่าว ก.ก.ต. ก็เคยได้วินิจฉัยไว้แล้วเช่นกัน
  4. นายสมชัย ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คตนเองเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 66 ระบุชัดว่า คดีที่ นายพิชิต ฯ ถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล มิใช่เป็นเรื่องของการให้สินบน โดยอ้างว่ามีอดีต ผู้พิพากษาศาลฎีกาส่งไลน์มาถึงตน และนายสมชัย ยังได้นำเหตุผลที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง นายพิชิต ในคดีอาญาข้อหาให้สินบนมาลงบนเฟสบุ๊คด้วย

ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทั้ง 4 ประการ ดังที่กล่าวมาย่อมถือได้ว่านายสมชัย ฯ ได้ทราบ เรื่องราวเป็นอย่างดีว่า การที่นายพิชิต ถูกศาลฎีกามีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น มิใช่

เป็นการลงโทษในคดีอาญาและมิใช่เป็นการติดสินบนหรือให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาลแต่อย่างใด อีกทั้ง นายสมชัย ก็มีการศึกษาดี เป็นถึงอดีต ก.ก.ต. ย่อมต้องใช้สติไตร่ตรองใคร่ครวญถึงสิ่งที่ตนเองจะ พูดออกไปว่าจะมีผลกระทบต่อบุคคลอื่นอย่างไร เมื่อนายสมชัย ได้กล่าวให้สัมภาษณ์โดยใช้คำว่า ติดสินบนไปเชื่อมโยงกับคดีที่นายพิชิต ถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า นายพิชิต  กระทำความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง จึงเห็นถึงเจตนาของ นายสมชัย ว่าต้องการกลั่นแกล้งใส่ความนายพิชิต ให้เกิดความเสียหาย จึงได้มีการขอเรียก ค่าเสียหายจากนายสมชัย ด้วย 50 ล้านบาท

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม