เมียหลวงสุดช้ำ ผัวรวมหัวกับพี่น้อง ฟ้องฮุบสมบัติที่ดินพันล้านไปปรนเปรอเมียน้อย

19 ส.ค. 66

"เมียหลวง" เปิดใจทั้งน้ำตา ปม "ผัวตัวเเสบ" ฮุบสมบัติกว่าพันล้านไปปรนเปรอเมียน้อย โดย 7 พี่น้องช่วยกันวางแผน เป็นเรื่องจริง ด้านลูกๆ วอนพ่อกลับใจ พร้อมเผยไม่เคยโกรธพ่อและหากวันไหน "เมียน้อย" ทิ้งก็จะไปรับพ่อมาเลี้ยงดูเหมือนเดิม

ก่อนหน้านี้มีการนำเสนอข่าวโซเชียลกรณีของ 3 แม่ลูก ที่ออกมาร้องสื่อฯ หลังถูก “สามีตัวแสบ” รวมหัวกับพี่น้องฝั่งสามีอีก 6 คน ร่วมกันวางแผน ฟ้องศาลฮุบสมบัติเป็นที่ดินทั้งหมด 19 แปลง หรือเกือบ 200 ไร่ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท จนกลายเป็นประเด็นในสังคมขึ้นมา

ล่าสุดแม่ลูก ทั้ง 3 คน ได้ออกมาเปิดเผยว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง พร้อมทั้งแสดงหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า ที่ดินทั้งหมด 19 แปลง ที่ผัวตัวแสบพร้อมพี่น้องฮุบไปเป็นกงสีของตระกูลนั้น เป็นทรัพย์สินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่ใช่เงินกงสี ตามที่ถูกกล่าวอ้าง

1692439258265

โดยหนึ่งในหลักฐานเด็ดเป็นพินัยกรรมที่นายฮ้วนหมิ่น หรือคุณปู่ของนายเอกปัญญา (ลูกชาย) และนางสาวกัลยารัตน์ (ลูกสาว) ที่ยืนยันว่าร้านทอง และที่ดิน 5 แปลง ที่เป็นสินสมรส พร้อมทั้งโชว์หลักฐานการซื้อขายที่ดิน จำนวน 14 แปลง ริมถนนสายเอเชีย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่าทั้งหมดเป็นเงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงของ 3 แม่ลูก ไม่ใช้เงินกงสีตามที่พ่อแท้ๆ ร่วมกับพี่น้อง รวม 7 คน กล่าวหาไปฟ้องคดีต่อศาล จนที่ดินผืนดังกล่าว ได้ถูกไปทั้งหมด

นางปองจิตร เมียหลวง วัย 70 ปี เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า แต่งงานกับสามีคนนี้ตอนอายุ 22 ปี ด้วยการคลุมถุงชนของพ่อแม่ทั้งคู่ จากนั้นก็อยู่กินกันฉันสามีภรรยา แต่หม้อข้าวยังไม่ทันดำ เพราะผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน สามีก็เริ่มออกลาย ทำนิสัยเจ้าชู้ให้เห็น แต่ก็ต้องทน เพราะรักเขาไปแล้วและกลัวพ่อแม่เสียใจ จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันทำหากิน ด้วยการเปิดกิจการร้านทองในตลาดหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี 2518 พร้อมมีลูกด้วยกัน 2 คน

1692439335402

แรกๆ ก็ช่วยกันทำมาหากิน จนทั้งคู่สร้างเนื้อสร้างตัวเริ่มมีฐานะ จึงได้ซื้อที่ดินเก็บไว้ทั้งหมด 5 แปลง เพื่อเป็นสมบัติและทุนให้กับลูกในอนาคต ต่อมาปี 2531-2532 สามีหนีไปมีเมียน้อย เป็นนักร้องกลางคืน ปรนเปรอสารพัด และซื้อบ้านเพื่อไปอยู่ด้วยกัน ก่อนจะแยกทางกับนางปองจิตร จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ตกลงกันว่า จะยกกิจการร้านทองดังกล่าวให้ลูกชายที่ขณะนั้นวัย 16 ปี และลูกสาววัย 15 ปี พร้อมยกที่ดิน ทั้ง 5 แปลง ซึ่งเป็นสินสมรสให้ลูก

แต่หลังจากนั้นชีวิตทั้งสามคนแม่ลูกก็ไม่ได้สุขสบาย ต้องช่วยกันทำมาหากินเพราะไม่มีพ่อที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว ในที่สุดลูกทั้งสองจึงตัดสินใจออกจากโรงเรียนกลางคัน มาช่วยแม่ขายทองอย่างจริงจัง จนในที่สุดด้วยความมุมานะของทั้งสามคน ก็ทำให้กิจการร้านทองไปได้ดี จนมีเงินเก็บ นางปองจิตรและลูกๆ จึงอยากจะต่อยอดจากเงินที่มี ด้วยการกว้านซื้อที่ดินริมถนนสายเอเชีย ในอำเภออุทัย ได้เพิ่มอีก 14 แปลง รวมกับที่ดินสินสมรสที่ทั้งคู่ยกให้ลูกๆ อีก 5 แปลง รวมเป็น 19 แปลง จนเดี๋ยวนี้มูลค่าที่ดินผืนนั้นพุ่งสูงกว่าพันล้านบาท และคิดว่าชีวิตช่วงบั้นปลายของตัวเองและลูกๆ ก็น่าจะสุขสบายกันแล้ว

1692439280718

แต่ในปี 2556 สามีที่ทิ้งครอบครัวไปอยู่กับเมียน้อยนานกว่า 30 ปี ก็ได้ย้อนกลับมา ทำร้ายครอบครัวและจิตใจลูกๆ อีกเป็นครั้งที่ 2 โดยสร้างเรื่องวางแผนกับน้องๆ อีก 6 คน หวังจะฮุบสมบัติที่เป็นที่ดินของนางปองจิตร และลูกๆ ทั้งหมด 19 แปลง เพื่อเอาไปปรนเปรอเมียน้อย และนำมาเป็นสินทรัพย์ในกงสีให้น้องๆ ทั้ง 6 คนได้ใช้อย่างสุขสบาย

สามีทำทีให้น้องๆ ทั้ง 6 คน เป็นโจทก์ รวมหัวกลั่นแกล้งฟ้องคดีแพ่ง ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บอกว่าที่ดินทั้ง 19 แปลง เป็นที่ดินกงสี โดยร่วมกันฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ ซึ่งมีสามีรับบทเป็นจำเลยที่ 1 เบิกความสนับสนุนตามฟ้องว่า ที่ดินทั้ง 19 แปลง เป็นของกงสี สู้จนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ที่สุด ทั้ง 3 ศาล พิพากษา ตามที่โจทก์ยื่นฟ้อง ฝั่งสามีเป็นผู้ชนะ ท่ามกลางความทุกข์ระทมของเมียหลวงและลูกๆ ทั้ง2 คน โดยที่ไม่แยแสว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร ตอนนั้นเสียใจมาก สงสารลูกๆ เพราะมันเหมือนทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาล่มสลายไปหมดไม่เหลืออะไรแล้ว

1692439211302

ด้านลูกสาว ก็เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ในช่วงที่คุณพ่อทิ้งพวกเธอไปอยู่กับผู้หญิงอื่น ซึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ป่วยหนักพอดี ทำให้เธอและพี่ชายต้องต่อสู้กับชีวิตกันตามลำพัง ความรู้สึกตอนนนั้นมันคือความทุกข์ที่สุดแล้ว เพราะด้วยทั้งภาวะครอบครัวที่ล่มสลาย พ่อก็มาแยกทาง แต่ตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะยังเด็ก ก็ได้เเต่เฝ้าภาวนาให้คุณแม่ปลอดภัย จนในที่สุดเหมือนฟ้ามีตา ผลการรักษาปรากฏว่าคุณแม่ปลอดภัยดี

จากนั้นเธอและพี่ชายจึงทำทุกอย่าง เพื่อให้คุณแม่ภูมิใจ และร่วมกันสร้างฐานะจึ้นมาใหม่ โดยการออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ทำมาหากินจากกิจการร้านทองที่มี สร้างฐานะมาเรื่อยๆ จนมีเงินเก็บ ซื้อที่ดินดังกล่าวได้ แต่ในขณะที่ชีวิตของทั้งสามคนกำลังจะดีขึ้น ก็ถูกพ่อมากระชากความสุขทิ้งไป และกลับมาฆ่าลูกๆ ทั้งเป็น เป็นครั้งที่ 2 ด้วยการพาคุณอาอีก 6 คน มาฟ้องร้องเอาที่ดินทั้งหมดไป

หลังศาลฎีกาตัดสินให้พ่อชนะคดี เธอและพี่ชายจึงตัดสินใจไปถามคุณพ่อว่าทำกับลูกแบบนี้ทำไม ทั้งที่พ่อก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าที่ดินทั้งหมด เธอและพี่ชายร่วมกันสร้างขึ้นมา แล้วคำตอบที่พวกเธอได้รับจากปากผู้เป็นพ่อว่า “อาทั้ง 6 คน อาอยากได้ที่ดิน จึงร่วมกันวางแผนและขอให้คุณพ่อให้การแบบนั้น” หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นเธอก็เสียใจมากกับสิ่งที่พ่อ และอาทั้ง 6 คนกระทำกับครอบครัวเธอ ซึ่งที่ผ่านมาเธอและพี่ชายไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เพราะเธอคิดว่า อยากให้คุณพ่อภูมิใจในความสำเร็จที่เธอและพี่ชายเรียนหนังสือจนได้รับปริญญาในวันเดียวกัน และร่วมกันสร้างฐานะขึ้นมาจนมีชีวิตดีขึ้น เท่านั้น

1692352679532

ขณะที่นายเอกปัญญา พี่ชายกล่าวว่า หลังจากที่ถูกฟ้องคดีก็รู้สึกตกใจ ทั้งที่คุณพ่อ และคุณอาเองก็รู้อยู่แล้วว่า ที่ดินทั้งหมดเป็นของผม และน้องสาวที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ของกงสี ซึ่งเรามีหลักฐานการซื้อขายที่ดิน รวมถึงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด และเส้นทางการเงิน แต่หลังจากที่ศาลตัดสิน ก็เหมือนเราถูกฟ้าผ่าลงมากลางใจ ที่คุณพ่อแท้ๆ และคุณอา มาทำกับเราแบบนี้ แต่เราทั้ง 3 คน ก็ไม่ได้ท้อ และร่วมกันฮึดสู้อีกครั้ง เพราะเรามองว่าจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงสิ่งที่เรา 3 คนแม่ลูกร่วมกันสร้างมา และอยากทำทุกอย่างให้คุณแม่ภูมิใจ และไม่ต้องห่วงเรา 2 คนพี่น้อง ว่าอนาคตจะต้องยากลำบาก

ทั้งนี้ ลูกสาว และลูกชาย ก็ได้มีความในใจอยากบอกผู้เป็นพ่อ ว่า อยากให้พ่อสำนึกผิด และนำที่ดินทั้งหมดมาคืนพวกเขา และทั้งคู่ยังได้บอกว่า ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยโกรธหรือเกลียดพ่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย ยังรักและเคารพในตัวพ่อเหมือนเดิม และถ้าวันหนึ่งวันใดพ่อถูกผู้หญิงคนนั้นทิ้งขึ้นมา ลูกๆ ก็พร้อมจะไปรับผู้เป็นพ่อมาเลี้ยงดู เพื่อทดแทนบุญคุณในยามบั้นปลายชีวิตของพ่อ เพราะสุดท้ายพ่อก็คือผู้ที่มีพระคุณที่สุดของลูก

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส