ก็ขอโทษละกัน... ขอโทษจ้าาา เพราะสัมผัสได้ถึงความ "ปลอม" เรื่องเลยไม่จบ ถอดรหัสคำว่า "ก็ขอโทษละกัน" พูดแบบนี้คิดอะไรอยู่? คำขอโทษที่ดีเป็นอย่างไร
"ขอโทษ" คำสั้นๆ แต่กลับมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เพราะคำขอโทษที่ออกมาจากใจสามารถเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์ได้ ในขณะเดียวกัน คำขอโทษที่ไม่จริงใจ หรือที่ฟังดูเหมือน "ฝืนพูด" เช่น "ก็ขอโทษละกัน" กลับมีแนวโน้มจะสร้างบาดแผลซ้ำซ้อนมากยิ่งกว่าเดิม
คำพูดอย่าง "ก็ขอโทษละกัน" ฟังเผิน ๆ อาจเหมือนแสดงความรับผิด แต่ในมุมจิตวิทยา คำนี้บ่งบอกถึงการขาดความเข้าใจ ความรับผิดชอบ และความเต็มใจในการยอมรับผิดอย่างแท้จริง และที่สำคัญ คือ ไม่ได้ช่วยให้ใครรู้สึกดีขึ้นจริงๆ
นักจิตวิทยาชาวสหรัฐฯ Aaron Lazare กล่าวว่า การขอโทษไม่ใช่แค่การ "พูดคำขอโทษ" แต่เป็นการยอมรับต่อผลกระทบทางจิตใจที่ตนมีต่อผู้อื่น การขอโทษเป็นการกระทำที่มีมิติลึกซึ้งในระดับอารมณ์ สังคม และจิตสำนึก
คำขอโทษที่ดีควรมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
1. การยอมรับผิด
2. การแสดงความเสียใจอย่างจริงใจ
3. การอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่แก้ตัว
4. การแสดงเจตนาจะแก้ไขหรือไม่ให้เกิดซ้ำ
หากคำขอโทษขาดองค์ประกอบเหล่านี้ มักจะถูกตีความว่าเป็น คำพูดเพื่อเอาตัวรอด มากกว่าจะเป็น คำพูดเพื่อเยียวยา
คำว่า "ก็ขอโทษละกัน" มีโครงสร้างทางภาษาแบบลดระดับความจริงใจลงอย่างชัดเจน
• "ก็" เป็นคำที่มีน้ำเสียงปัดความรับผิด เช่น "ก็ไม่ได้ตั้งใจ", "ก็เธอทำก่อน"
• "ละกัน" สะท้อนความไม่เต็มใจ คล้ายการพูดว่า "เอาเถอะ งั้นก็ยอมก็ได้"
เมื่อรวมกัน คำพูดนี้จึงแฝงนัยของการไม่จริงใจ ไม่รับผิดชอบ และไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
1. คำขอโทษแบบปกป้องตัวเอง (Defensive Apology) เช่น "ขอโทษก็ได้ แต่ฉันไม่ได้ผิดจริง ๆ" ผลคืออาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกแย่มากกว่าเดิม
2. คำขอโทษเชิงบังคับ (Forced Apology) เช่น "เขาให้มาขอโทษ" หรือ "ก็แค่พูดตามมารยาท"
3. คำขอโทษแบบประชดประชัน (Passive-Aggressive Apology) เช่น "โอ๊ย ขอโทษจ้าาา..." มีเจตนาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยค่า
4. คำขอโทษที่บอกว่าอีกฝ่ายคิดมากเกินไป เช่น "ขอโทษละกัน ถ้าคุณคิดว่าฉันผิด" นี่ไม่ใช่การขอโทษหรือสำนึกผิด เป็นสิ่งตรงข้ามเลยก็ว่าได้เพราะประโยคดังกล่าว ผู้พูดไม่ยอมรับความผิดแต่โยนความรู้สึกผิดให้ผู้ฟัง
1. กลัวเสียหน้า : บางคนมี "อีโก้" สูงเกินกว่าจะยอมรับว่าตนเองผิด คำว่า "ขอโทษ" จึงถูกมองว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรี
2. ต้องการให้เรื่องจบ : การพูดว่า "ก็ขอโทษละกัน" มักเป็นกลไกเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทันที โดยไม่ใส่ใจผลกระทบระยะยาว
3. ถูกเลี้ยงดูให้ไม่เข้าใจการสื่อสารเชิงอารมณ์ : บางคนเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่เคยพูดถึงอารมณ์ หรือไม่มีแบบอย่างของการขอโทษที่ดี
4. การป้องกันตนเองจากความผิด : พูดเช่นนี้เพื่อเบี่ยงเบนความรับผิด ตัวอย่างรูปประโยค "ฉันพูดขอโทษแล้วนะ ทีนี้ก็ไม่ใช่ความผิดฉันอีก"
• รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ
• ไม่รู้สึกได้รับการเยียวยา
• หมดศรัทธาในความสัมพันธ์
• รู้สึกโดดเดี่ยวและสับสนในตัวเอง
• ความโกรธไม่ได้ถูกคลี่คลาย กลับฝังลึกขึ้น
ในกรณีความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น คู่รัก พี่น้อง หรือเพื่อนสนิท คำขอโทษแบบนี้อาจทำให้เกิด "ความรู้สึกไม่ปลอดภัยทางอารมณ์ (Emotional Unsafety)" และสะสมกลายเป็นระยะห่างในความสัมพันธ์
1. การเรียนรู้จากสังคม : ในวัฒนธรรมที่เน้น “การรักษาหน้า” การพูดขอโทษถูกมองว่าอ่อนแอ จึงใช้ภาษาหลบเลี่ยงความผิดแบบนี้บ่อย ๆ
2. ไม่เข้าใจว่าคำขอโทษส่งผลทางอารมณ์แค่ไหน : หลายคนไม่รู้ว่าคำพูดเพียงประโยคเดียว อาจกระทบความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง
3. ขาดทักษะการสื่อสารเชิงอารมณ์ : การไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะสื่อสารอย่างไรให้ดี จึงเลือกวิธี "ตัดบท"
• "ใครผิดคนนั้นต้องขอโทษก่อนเสมอ"
• "ถ้าฉันขอโทษก่อน แสดงว่าฉันแพ้"
• "เรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอโทษก็ได้"
• "พูดคำว่าขอโทษแล้ว เรื่องต้องจบ"
ตัวอย่างรูปประโยคที่ไม่ควรนำมาใช้ รวมถึงทัศนคติ แนวคิดเหล่านี้ล้วนบั่นทอนความสัมพันธ์
1. ขอโทษอย่างตรงไปตรงมา
"ฉันขอโทษที่พูดจาไม่ดีเมื่อวาน ฉันรู้ว่ามันทำให้คุณเสียใจ"
2. ระบุสิ่งที่ทำผิด
"ฉันพูดประชดประชันโดยไม่รู้ตัว มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย"
3. แสดงความเสียใจและเข้าใจผลกระทบ
"ฉันเสียใจจริง ๆ และเข้าใจว่าคุณเจ็บปวดกับเรื่องนี้"
4. ไม่มีการปัดความผิดหรือโยนความรู้สึกกลับไปให้ผู้ฟัง
หลีกเลี่ยงคำว่า "ถ้า", "แต่", "ก็"
5. แสดงเจตนาที่จะปรับปรุงและไม่ให้เกิดขึ้นอีก
"ฉันจะใส่ใจกับคำพูดของฉันให้มากขึ้น"
"ก็ขอโทษละกัน" ขอโทษที่ไม่ได้แปลว่าขอโทษ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาความรู้สึกใดๆ แล้ว ในทางกลับกันกลับสร้างความรู้สึกด้อยค่า ขาดการยอมรับ และบั่นทอนความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว
การขอโทษที่ดีไม่ใช่แค่การพูดเพื่อให้เรื่องจบ แต่คือการรับผิดชอบต่อผลกระทบทางอารมณ์ที่ตนมีต่อผู้อื่น การเข้าใจธรรมชาติของคำขอโทษและฝึกฝนการพูดอย่างจริงใจ คือหนึ่งในทักษะสำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรมี
ข้อมูลอ้างอิง
1. Lazare, A. (2004). On Apology. Oxford University Press.
2. Tavuchis, N. (1991). Mea Culpa: A Sociology of Apology and Reconciliation. Stanford University Press.
3. Chapman, G., & Thomas, J. (2006). The Five Languages of Apology. Northfield Publishing.
4. Lewicki, R. J., Polin, B., & Lount Jr, R. B. (2016). “An Exploration of the Structure of Effective Apologies.” Negotiation and Conflict Management Research, 9(2), 177–196.
5. Psychology Today. (n.d.). How to Apologize Sincerely and Effectively. https://www.psychologytoday.com
Advertisement