จากจุดอ่อนอาจกลายเป็นการสร้างความได้เปรียบในบางสถานการณ์ แนวคิดทางจิตวิทยาเรื่อง “การแกล้งรับบทเหยื่อ” เพื่อความสำเร็จนั้นซับซ้อนและมีรากฐานมาจากหลายสาเหตุ โดยไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่แสดงความอ่อนแอจะเป็นการเสแสร้งเสมอไป แต่ในบางกรณี การใช้กลไกนี้ก็สามารถนำไปสู่ผลประโยชน์บางอย่างได้
คำว่า “เหยื่อ” ถูกนิยามในเชิงลบว่า “สภาพของการถูกทำร้าย เสียหาย หรือถูกทำให้ต้องทนทุกข์ทรมาน” อย่างไรก็ตาม มนุษย์ได้วิวัฒนาการมาเพื่อให้เห็นอกเห็นใจความทุกข์ทรมานของผู้อื่น และให้ความช่วยเหลือเพื่อขจัดหรือชดเชยความทุกข์ทรมานนั้น
ดังนั้น “การส่งสัญญาณความทุกข์ทรมานไปยังผู้อื่น” จึงเป็น “กลยุทธ์” ที่มีประสิทธิภาพในการแสวงหาทรัพยากร และการเป็นเหยื่อสามารถสร้างพลังบางอย่างได้
นั้นคือแนวคิดของ “Victimhood Culture” หรือ “วัฒนธรรมของการสวมบทบาทเหยื่อ” ซึ่งเป็นกลไกที่บางคนใช้เพื่อความสำเร็จ
นักจิตวิทยาได้ศึกษาปรากฏการณ์นี้และพบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
การแสดงออกถึงความทุกข์ยาก หรือการถูกกระทำ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจและความเห็นใจจากผู้อื่น
เมื่อคนเรารู้สึกว่ามีคนได้รับความทุกข์ยาก เรามักจะอยากช่วยเหลือและให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นในรูปของความสนใจ, การสนับสนุนทางการเงิน, หรือการช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ ในบางกรณี การเล่าเรื่องราวความยากลำบากก็สามารถทำให้ได้รับโอกาสที่คนอื่นไม่ได้รับ เช่น การได้รับเงินบริจาคหรือโอกาสในการทำงาน
อ้างอิง: งานวิจัยจากวารสาร Quillette (2021) ระบุว่า "การส่งสัญญาณความทุกข์ทรมานไปยังผู้อื่นอาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการได้รับทรัพยากร" ผู้ที่สวมบทเหยื่ออาจได้รับความสนใจ, ความเห็นใจ, สถานะทางสังคม และการสนับสนุนทางการเงิน
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใหม่ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่แสดงออกถึงการเป็น “เหยื่อ” บ่อยครั้ง (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริง เกินจริง หรือไม่จริง) มีแนวโน้มที่จะโกหกและโกงเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุ และกล่าวร้ายผู้อื่นเพื่อที่จะก้าวหน้า
การแสดงออกถึงการเป็นเหยื่อนี้ มีความเชื่อมโยงกับลักษณะบุคลิกภาพที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนาทางศีลธรรมหลายประการ เช่น การหลงตัวเอง (narcissism), คนเจ้าเล่ห์ บงการผู้อื่น ไร้ศีลธรรม (Machiavellianism) , ความรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิพิเศษ, ขาดความซื่อสัตย์และความถ่อมตัว
การโทษสถานการณ์หรือบุคคลอื่น ว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา ทำให้ไม่ต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง และไม่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว
การยอมรับว่าตัวเองเป็น “เหยื่อ” ทำให้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวหรือปัญหาที่เกิดขึ้น การโทษปัจจัยภายนอก เช่น โชคชะตา, สถานการณ์, หรือการกระทำของผู้อื่น ทำให้บุคคลนั้นสามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเองไว้ได้ โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับข้อผิดพลาดของตัวเอง
อ้างอิง: บทความจาก Medical News Today (2023) ได้อธิบายถึงลักษณะสำคัญของ “Victim Mentality” หรือ “การมีทัศนคติแบบเหยื่อ” คือการที่บุคคลรู้สึกว่าตนเองเป็นเหยื่ออยู่ตลอดเวลา แม้จะมีหลักฐานที่ชี้ไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม ทัศนคตินี้สามารถส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ได้ทุกประเภท สัญญาณของพฤติกรรมนี้มีได้หลากหลาย แต่โดยทั่วไปอาจรวมถึง การกล่าวโทษผู้อื่น และปฏิเสธที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
การเป็น “เหยื่อ” สามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมผู้อื่นได้ เช่น การทำให้คนอื่นรู้สึกผิดและต้องทำตามที่ตนเองต้องการ
ในทางจิตวิทยา การเป็น “เหยื่อ” อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้พลังทางสังคม การทำให้คนอื่นรู้สึกผิดหรือสงสารสามารถเป็นเครื่องมือในการบังคับให้ผู้อื่นทำตามความต้องการของเราได้ ซึ่งเป็นวิธีควบคุมที่ไม่ต้องใช้อำนาจโดยตรง
อ้างอิง: Psychology Today (2021) วารสารยอดนิยมด้านจิตวิทยาได้อธิบายว่า “บุคลิกภาพของเหยื่อ” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น “การเล่นเกมเพื่อชิงอำนาจ” งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า สำหรับบุคคลที่มีลักษณะนิสัยชอบแสวงหาผลประโยชน์ การเล่นบทเหยื่อ คือกลยุทธ์ที่ออกแบบมาตั้งแต่ต้นเพื่อสร้างความไม่สมดุลในความสัมพันธ์
ในบางสถานการณ์ การแสดงความอ่อนแออาจทำให้ผู้อื่นประเมินความสามารถต่ำเกินไป ซึ่งเป็นโอกาสให้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ถูกจับตามอง และในที่สุดก็นำไปสู่ความสำเร็จที่ไม่คาดคิด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการสวมบทบาทเหยื่อจะนำมาซึ่งผลประโยชน์บางอย่างได้ แต่กลไกนี้ก็มีข้อเสียร้ายแรงในระยะยาว ผู้ที่ยึดติดกับบทบาทนี้มักจะสูญเสียความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ขาดความมั่นใจในตัวเอง และมีความสัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืนกับผู้อื่น เนื่องจากเป็นการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเห็นใจและความพึ่งพา แทนที่จะเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน
Advertisement