Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ชำแหละพฤติกรรมชายแท้! ซ้อมรุนแรงประจำเป็น โรคทางจิต หรือ "สันXXX"

ชำแหละพฤติกรรมชายแท้! ซ้อมรุนแรงประจำเป็น โรคทางจิต หรือ "สันXXX"

23 พ.ค. 68
14:09 น.
แชร์

ผู้ชายทำร้ายผู้หญิงเข้าข่ายป่วยทางจิตหรือไม่? เปิดสถิติช็อก มีผู้หญิงบาดเจ็บเพราะถูกทำร้ายเกือบหมื่นคนต่อปี สถานที่เกิดเหตุรุนแรงคือในบ้านของพวกเธอ

ความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง เป็นปัญหาสังคมที่ฝังรากลึกในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก และในประเทศไทยเองก็มีรายงานเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง

แม้ว่าจะมีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้หญิง หรือการรณรงค์จากองค์กรภาครัฐและเอกชน แต่มูลเหตุแห่งความรุนแรงดังกล่าวยังคงดำรงอยู่

อะไรหนอคือสาเหตุ หรือมีปัจจัยใดที่ทำให้ผู้ชายที่พละกำลังเหนือกว่าผู้หญิงโดยตามธรรมชาติ อะไรกันนะที่ทำให้เขาเหล่านั้นใช้หมัด เท้า หรือแม้กระทั่งสิ่งของ อาวุธ ทุบตีลงไปบนร่างกายผู้หญิงที่เขาบอกว่า "รักมาก?"

Amarin Online จะพาไปสำรวจพฤติกรรมของผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงในมุมมองทางสุขภาพจิต พฤติกรรมศาสตร์ และปัจจัยทางสังคม เพื่อให้เข้าใจว่า คนกลุ่มนี้เข้าข่ายภาวะทางจิตเวชใด หรือมีรูปแบบพฤติกรรมใดซ่อนอยู่ พร้อมแนวทางป้องกันและแก้ไขอย่างเป็นระบบ

1. ความหมายของความรุนแรงต่อผู้หญิง

องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดว่า ความรุนแรงต่อผู้หญิงหมายถึง "การกระทำใดๆ ที่มีผลให้เกิดอันตรายทางร่างกาย จิตใจ หรือเพศ ต่อสตรี รวมถึงการข่มขู่ การบังคับ และการจำกัดเสรีภาพ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตส่วนตัวหรือในสังคม"

ประเภทของความรุนแรงที่พบได้ ได้แก่

• ความรุนแรงทางร่างกาย เช่น การตบ เตะ ต่อย ใช้อาวุธ

• ความรุนแรงทางวาจา เช่น ด่า ดูถูก ข่มขู่

• ความรุนแรงทางจิตใจ เช่น ควบคุม จำกัดเสรีภาพ แยกผู้หญิงจากสังคม

• ความรุนแรงทางเพศ เช่น ข่มขืน หรือบังคับมีเพศสัมพันธ์

การศึกษาพบว่า ผู้กระทำความรุนแรงเหล่านี้ มักแสดงพฤติกรรมซ้ำๆ และมีรูปแบบคิดที่บิดเบี้ยว ซึ่งนำไปสู่การใช้อำนาจควบคุมอีกฝ่าย

2. ผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงเข้าข่ายปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ ?

คำตอบคือ ใช่และไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน

กรณี "ใช่" : ผู้กระทำบางรายมีความผิดปกติทางจิต

ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่ใช้ความรุนแรงจะเข้าข่ายโรคทางจิตเวช แต่มีผู้กระทำบางรายที่แสดงพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับโรคทางบุคลิกภาพหรืออาการทางจิตใจดังต่อไปนี้

2.1. ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorders)

• โรคบุคลิกภาพต่อต้านสังคม Antisocial Personality Disorder (ASPD)

คนที่มีบุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคมมีลักษณะไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่รู้สึกผิดเมื่อละเมิดสิทธิผู้อื่น มักใช้ความรุนแรงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

• โรคหลงตัวเอง Narcissistic Personality Disorder (NPD)

ลักษณะสำคัญคือยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการให้ผู้อื่นเชื่อฟัง หากไม่ได้ดั่งใจจะโกรธง่ายและตอบโต้ด้วยความรุนแรง โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่ตนรู้สึกว่าถูกท้าทายอำนาจ

• โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบก้ำกึ่ง Borderline Personality Disorder (BPD)

แม้ว่าจะพบในผู้หญิงมากกว่า แต่ในผู้ชายที่เป็น BPD ก็อาจมีพฤติกรรมรุนแรงจากความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ความกลัวการถูกทอดทิ้ง และอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรง

3. ปัจจัยเชิงพฤติกรรม : พฤติกรรมใช้ความรุนแรงเป็นผลจากการเรียนรู้

ไม่ใช่ทุกกรณีที่เกี่ยวกับโรคทางจิต แต่บางครั้งผู้ชายใช้ความรุนแรงเพราะ "เรียนรู้" จากสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ในวัยเด็ก

3.1. พฤติกรรมที่ได้รับการปลูกฝัง

• โตมากับความรุนแรง เช่น พ่อทำร้ายแม่

• ซึมซับความคิดแบบชายเป็นใหญ่

• ขาดแบบอย่างของความสัมพันธ์ที่ดีและสื่อสารอย่างสันติ

3.2. พฤติกรรมการควบคุม

ชายบางคนใช้กลวิธีควบคุม เช่น สั่งห้ามไม่ให้ทำงาน ห้ามพบเพื่อน ติดตามทุกการเคลื่อนไหว เพื่อสร้างอำนาจเหนือตัวหญิงสาว

3.3. การไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพของคู่ครอง

คนเหล่านี้มอง แฟน หรือ ภรรยาเป็น "สมบัติ" ไม่ใช่ "คน" ที่มีความคิดและความรู้สึกของตนเอง

4. ปัจจัยทางชีวภาพและสมอง

งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า สมองของคนที่ใช้ความรุนแรงอาจมีความผิดปกติในบางส่วน เช่น

• ความผิดปกติในสมองส่วน amygdala (ควบคุมอารมณ์)

• การทำงานผิดปกติของ frontal lobe (ส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลและการยับยั้งพฤติกรรม)

• ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บทางสมองอย่างรุนแรง งานวิจัยพบว่ามากถึง 70% มีอาการหงุดหงิดและก้าวร้าวหลังได้รับบาดเจ็บ การทำร้ายคู่สมรสมีโอกาสสูงเพราะเป็นผู้ดูแลใกล้ชิด

ปัจจัยทางชีวภาพนี้อาจเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้บุคคลตอบสนองต่อความเครียดหรือความขัดแย้งด้วยความรุนแรง

5. สารเสพติดและแอลกอฮอล์ : ตัวเร่งพฤติกรรมรุนแรง

การใช้สารเสพติด เช่น ยาบ้า แอลกอฮอล์ หรือยาเสพติดชนิดอื่นๆ มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และลดความสามารถในการควบคุมตนเอง

เมื่อดื่มหรือเสพมากเกินไป บุคคลจะสูญเสียการคิดวิเคราะห์และตอบสนองด้วยอารมณ์อย่างรุนแรง

6. มุมมองด้านสังคมวัฒนธรรม : เมื่อความรุนแรงกลายเป็นเรื่อง "ปกติ"

ในบางสังคมมีการยอมรับความรุนแรงต่อผู้หญิงโดยไม่รู้ตัว เช่น

• คำพูดเช่น "ผู้ชายจะตีเมียเป็นเรื่องธรรมดา" หรือ "เรื่องผัวเมียอย่าไปยุ่ง เดี๋ยวเขาดีกันเราจะกลายเป็นหมา"

• การขาดกลไกทางกฎหมายในการคุ้มครองผู้หญิง

สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึง ระบบชายเป็นใหญ่ หรือ "ปิตาธิปไตย" ที่ฝังลึก และผลักดันให้เกิดความรุนแรงซ้ำซ้อน

7. การวินิจฉัยและการประเมินพฤติกรรมรุนแรง

ในทางจิตเวช สามารถใช้แบบประเมินต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมรุนแรง เช่น

แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง (Overt Aggression Scale: OAS)

• แบบทดสอบทางพฤติกรรมที่วัดระดับอารมณ์โกรธ ความอดทน การเห็นอกเห็นใจ

8. การรักษาและบำบัดผู้กระทำความรุนแรง

การบำบัดผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงสามารถทำได้โดยใช้แนวทางดังนี้

8.1. โปรแกรมปรับพฤติกรรม (CBT for Violence)

ใช้หลักการของ Cognitive Behavioral Therapy เพื่อช่วยให้ผู้กระทำเข้าใจต้นตอพฤติกรรม ควบคุมอารมณ์ และพัฒนาทักษะสื่อสาร

8.2. การบำบัดกลุ่ม (Group Therapy)

ให้ผู้กระทำมีโอกาสเรียนรู้จากผู้อื่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเผชิญหน้ากับผลของการกระทำตน

8.3. การบำบัดร่วมกับครอบครัว (Family-Based Intervention)

เพื่อให้เกิดการเยียวยาทางจิตใจ และสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

9. แนวทางป้องกันและนโยบายสาธารณะ

9.1. การศึกษาและการรณรงค์

• ปลูกฝังทัศนคติที่เคารพสิทธิของทุกเพศตั้งแต่เด็ก

• รณรงค์ผ่านสื่อให้คนเข้าใจว่าความรุนแรงไม่ใช่เรื่องปกติ

9.2. พัฒนากฎหมายและการเข้าถึงการคุ้มครอง

• ให้ผู้หญิงสามารถแจ้งเหตุได้ง่าย และได้รับการดูแลจริง

• เพิ่มความร่วมมือระหว่างตำรวจ นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ และที่สำคัญการบังคับใช้กฎหมายต้องเข้มแข็ง

ข้อมูลสถิติสถานที่ที่ผู้หญิงถูกทำร้ายมากที่สุดคือ "ในบ้าน"

ข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค เผยสถิติในปี 2562-2564 ประเทศไทยมีผู้หญิงบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย 8,577 ราย/ปี

• กลุ่มอายุที่ถูกทำร้ายมากที่สุด 20-24 ปี

• วิธีถูกทำร้ายมากที่สุดคือ ใช้กำลัง 60%

• สาเหตุเกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

• สถานที่ถูกทำร้ายมากที่สุดคือ บริเวณบ้าน 60%

ผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงไม่ใช่เพียง "คนอารมณ์ร้อน" หรือ "นิสัยไม่ดี" เท่านั้น แต่เป็นผลรวมของหลายปัจจัย ทั้งในระดับบุคคล จิตใจ สังคม และวัฒนธรรม บางรายอาจมีปัญหาสุขภาพจิต บางรายอาจถูกหล่อหลอมจากการเลี้ยงดูหรือความคิดแบบชายเป็นใหญ่ สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ปล่อยให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่อง "ธรรมดา" ในสังคม ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง หรือเด็กควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงใจและเป็นระบบ

อ้างอิงข้อมูล :

- National Institutes of Health

- American Psychiatric Association. (2013) Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM-5)

- Dutton, D. G. (2006) Rethinking Domestic Violence

- Johnson, M. P. (2008) A Typology of Domestic Violence: Intimate Terrorism, Violent Resistance, and Situational Couple Violence

- WHO (World Health Organization) (2006) Intimate partner violence and alcohol

- สำนักงานสถิติแห่งชาติ : รายงานการสำรวจความรุนแรงในครอบครัวในประเทศไทย

- กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว : ข้อมูล สถิติ และแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

Advertisement

แชร์
ชำแหละพฤติกรรมชายแท้! ซ้อมรุนแรงประจำเป็น โรคทางจิต หรือ "สันXXX"