ดูอ่อนกว่าวัยได้! ด้วย 3 เทคนิค

26 ต.ค. 64

เทคนิคที่ 1: ทาสกินแคร์แบบโปะ

การทาสกินแคร์แบบโปะ คืออะไร ?
การทาสกินแคร์แบบโปะ เป็นการสร้างชั้นสกินแคร์ปิดฝาผิว เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวหนังครับ การสร้างชั้นของสกินแคร์ปกคลุมผิวด้านบนเอาไว้แบบนี้ จะทำให้ผิวเสียน้ำได้ยากขึ้น (Occlusive Effect) น้ำจะไม่สามารถระเหยออกไปได้ จึงเกิดแรงในทิศทางลง ทำให้สารสำคัญซึมเข้าไปในผิวได้ดี นอกจากนี้ ผิวจะชุ่มไปด้วยน้ำ ทำให้สารสำคัญซึมผ่านผิวได้ดีขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการบำรุงผิวดีขึ้นครับ

5

เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นความอัศจรรย์ของการทาสกินแคร์แบบโปะ ผมจึงได้ทำการทดลองแบบง่าย ๆ โดยใช้แผ่นเจลาตินเป็นตัวแทนของผิวที่แห้งขาดน้ำ ทดลองให้ดูครับ จากการทดลองจะเห็นว่า เมื่อทาสกินแคร์แบบโปะทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แผ่นเจลาตินจะนุ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับการทาธรรมดา ผิวของเราก็เช่นเดียวกับครับ การที่เราทาแบบโปะ จะทำให้ผิวชุ่มไปด้วยน้ำ และอ่อนนุ่มขึ้น ทำให้สารสำคัญซึมผ่านผิวได้ดีขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการบำรุงผิวดีขึ้น เราสามารถใช้เทคนิคนี้ ในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวแบบเร่งด่วนได้เลยครับ

เทคนิคที่ 2: บำรุงด้วยสกินแคร์กลุ่มน้ำมันก่อนกลุ่มน้ำ

การบำรุงสกินแคร์กลุ่มน้ำมันก่อนกลุ่มน้ำ จะช่วยให้สกินแคร์กลุ่มน้ำซึมได้ดีมากยิ่งขึ้น สงสัยกันไหมครับว่าทำไม?

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า ผิวที่ยังไม่ได้บำรุงเปรียบเสมือนดินที่แห้ง ถ้าเรารดน้ำลงไปเลย น้ำก็จะไม่ซึมไปไหน ค้างอยู่บนหน้าดิน ถ้าเราอยากให้น้ำซึมดี เราก็จะต้องพรวนดินก่อนที่จะรดน้ำ

การบำรุงด้วยสกินแคร์กลุ่มน้ำมันก่อน ก็เหมือนกับการพรวนดิน น้ำมันที่ให้ไปก่อนจะช่วยให้ผิวมีความนุ่มมากขึ้น ทำให้สกินแคร์กลุ่มน้ำที่จะบำรุงในลำดับถัดไปซึมได้ดียิ่งขึ้นครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น การบำรุงด้วยสกินแคร์กลุ่มน้ำมัน ก็ควรที่จะเลือกใช้แบบที่มีทั้งน้ำและน้ำมันผสมอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน หรือที่เรียกว่า Emulsion (อิ-มัล-ชัน) มากกว่าการเลือกใช้แบบที่มีแต่น้ำมันเพียงอย่างเดียวครับ เพราะใน Emulsion นั้น มีสารที่ช่วยประสานให้น้ำและน้ำมันเข้าด้วยกันอยู่ ซึ่งจะยิ่งช่วยให้สกินแคร์กลุ่มน้ำซึมเข้าผิวได้ดีขึ้นนั่นเองครับ

3

และเพื่อให้ทุกท่านเห็นภาพมากขึ้น ผมจึงได้ทำการทดลองอีกการทดลองหนึ่งขึ้นมา

จากรูปฝั่งขวา เป็นการบำรุงด้วยสกินแคร์กลุ่มน้ำทันที โดยไม่ได้บำรุงด้วย Emulsion ก่อน ซึ่งจะเห็นว่า น้ำที่ให้ไปจะเป็นหยด ๆ ไม่กระจายตัว และซึมเข้าสู่ผิวได้ยากกว่า

กลับกัน จากรูปฝั่งซ้าย เป็นการบำรุงด้วย Emulsion ก่อน แล้วตามด้วยสกินแคร์กลุ่มน้ำ จะเห็นว่า น้ำจะกระจายตัวลงบนผิว และซึมเข้าสู่ผิวได้ดีกว่า เนื่องจาก Emulsion ที่ให้ไปก่อน จะทำให้ผิวนุ่ม ประกอบกับตัวประสานน้ำและน้ำมันใน Emulsion จะทำให้ผิวเปียกน้ำได้ดีขึ้น สกินแคร์กลุ่มน้ำจึงซึมได้ดีขึ้นนั่นเองครับ

เทคนิคที่ 3: บริหารกล้ามเนื้อรากขน

ในผิวคนเรา จะมีกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง เรียกว่า “กล้ามเนื้อรากขน” ซึ่งนอกจากทำหน้าที่ดึงขนให้ตั้งเวลาขนลุกแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า กล้ามเนื้อชนิดนี้ช่วยพยุงผิว ไม่ให้หย่อนคล้อยไปตามแรงโน้มถ่วงอีกด้วยครับ

เมื่ออายุมากขึ้น จำนวนกล้ามเนื้อรากขนจะลดลง ทำให้ผิวเกิดการหย่อนคล้อย แต่จากรายงานการวิจัย พบว่า เราสามารถที่จะเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อรากขนนี้ได้ครับ ผมจึงอยากจะมาแชร์ให้ทุก ๆ ท่านฟังว่า เราจะเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อรากขนเพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างไรครับ

หลักการในการบริหารกล้ามเนื้อรากขน เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

การบริหารกล้ามเนื้อรากขน ก็เหมือนกับเวลาเราเล่นเวท ยิ่งมีการยืดมากเท่าไหร่ จำนวนเซลล์กล้ามเนื้อก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นครับ วิธีการยืดกล้ามเนื้อรากขนนั้น สามารถที่จะทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ เลยครับ ใช้เพียง 2 มือของเราเท่านั้น ถ้าอยากรู้แล้วว่าทำอย่างไร เชิญอ่านต่อได้เลยครับ

วิธีบริหารกล้ามเนื้อรากขนใต้ตา

2

หากเริ่มจากตาขวา ให้วางนิ้วชี้ข้างซ้ายไว้ที่หัวตา และนิ้วชี้ข้างขวาไว้ใต้ตา ตำแหน่งใกล้กับหางตา ออกแรงกดปลายนิ้วทั้งสองข้างลงไปที่ผิวเบา ๆ แล้วยืดผิวออกจากกันในแนวเฉียงลง 45 องศา จากนั้นค่อยสลับทำอีกข้างครับ

วิธีบริหารกล้ามเนื้อรากขนบริเวณหางตา

1

หากเริ่มจากตาขวา ให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งของมือขวา วางในตำแหน่งบนและล่างของหางตา คล้ายเวลาทำมือจีบ ออกแรงกดปลายนิ้วทั้งสองข้างลงไปที่ผิวเบา ๆ แล้วยืดผิวออกจากกันในแนวดิ่ง จากนั้นค่อยสลับทำอีกข้างครับ

วิธีบริหารกล้ามเนื้อรากขนบริเวณแก้ม

4

หากเริ่มจากแก้มขวา ให้ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของทั้ง 2 มือ วางบริเวณแก้ม 2 จุดตามแนวดิ่ง ออกแรงยืดในแนวดิ่งโดยไม่ต้องขยับตำแหน่งนิ้วไปไหน ยืดขึ้นลง ๆ จากนั้นก็ค่อยสลับทำอีกข้างครับ

สำหรับความถี่ในการบริหารกล้ามเนื้อ ในงานวิจัยที่ผมยกมาพูดถึงนั้น ทำการทดลองเฉพาะใต้ตาเพียงตำแหน่งเดียว โดยทำวันละ 1 เซต เซตละ 15 ครั้ง เป็นเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ก็เห็นผลได้ครับว่าหนังใต้ตามันดูกระชับขึ้นจริง

ดังนั้น ผมจึงคิดว่าความถี่ที่เราควรทำ ก็ควรจะเป็นวันละ 1 เซต เซตละ 15 ครั้ง เช่นเดียวกัน ปรับใช้กับทุกบริเวณ เวลายืดไม่จำเป็นต้องออกแรงเยอะครับ เพราะกล้ามเนื้อไม่ได้ใหญ่ ออกแรงแค่ให้รู้สึกว่ามีแรงยืดเบา ๆ ก็พอ แนะนำให้ทำก่อนนอน หลังทาสกินแคร์เสร็จ เนื่องจากจะได้ไม่ต้องเร่งรีบ และมีเวลาทำได้อย่างเต็มที่ครับ

หากท่านใดที่ลองทำตามดูแล้วยังรู้สึกติดปัญหา หรือนึกภาพตามไม่ออก สามารถชมคลิปด้านล่างนี้ได้เลยครับ

AMT Skincare YouTube Channel

 

byline

อมต ชัยเกรียงไกร

นักวิจัยสกินแคร์คนไทย ประสบการณ์ทำงานในบริษัทเครื่องสำอาง Top 3 ของญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านสูตรสกินแคร์ให้กับแบรนด์สกินแคร์ทั้งในและต่างประเทศ และเป็นผู้ก่อตั้ง แบรนด์ AMT Skincare
อ่านประวัติผู้เขียนต่อ คลิก

pin1จบทุกปัญหาผิว ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ฟรี!

addline1

 

 

AMT Skincare Official Line

แอดไลน์ @amtskincare หรือ คลิก

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ผิวมัน ต้องแก้ด้วย "น้ำมัน" (Inner oil)

- Moisture ได้ยินบ่อย ๆ เข้าใจความหมายที่แท้จริงหรือยัง

- ระวังมือหยาบกร้าน! เหตุล้างมือแล้วไม่เช็ดให้แห้ง ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น

- ทริคเลือกสีหน้ากาก ช่วยอำพรางปัญหาผิว-ปรับรูปหน้า

- เผย 3 ปัจจัยที่ทำให้เกิด “สิวหน้ากาก” พร้อมทริคดูแลที่ถูกต้อง

- ผิวแห้ง.. ใครว่าไม่เป็นสิว

advertisement

Powered by AMT Skincare

สุขภาพและความงาม คุณอาจสนใจ

ข่าวยอดนิยม

ไลฟ์สไตล์ ล่าสุด