
ทำไมบริษัทข้ามชาติเกาหลีใต้ไม่เข้ามาลงทุนกิจการในประเทศไทยอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่า ชาวไทยจำนวนมากชื่นชอบวัฒนธรรมเกาหลี? เห็นได้จากกระแสเกาหลีได้รับการตอบรับในประเทศไทยเป็นอย่างดี ผ่านทางเพลง ซีรีส์ ภาพยนตร์ เป็นต้น ส่งผลให้ชาวไทยบริโภคสินค้าเกาหลีเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงการเรียนภาษาเกาหลีในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เหตุผลที่บริษัทข้ามชาติเกาหลีใต้ไม่เข้าสู่ประเทศไทยมากนัก เนื่องจากระบบและระเบียบต่างๆ ในประเทศไทยส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากประเทศญี่ปุ่นที่ลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ระบบเหล่านี้จึงเป็นระบบที่ไม่คุ้นเคยสำหรับบริษัทเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม บริษัทข้ามชาติเกาหลีใต้เล็งเห็นความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของภูมิภาคแม่น้ำโขง Mekong Region (เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, ไทย, และเมียนมา) อย่างมาก เห็นได้จาก ในสมัยประธานาธิบดี อี แจ-มยองนั้น เคยมีนโยบายหลักที่สำคัญ คือ นโยบายมุ่งใต้ (New Southern Policy : NSP) ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้การแลกเปลี่ยนและเน้นลงทุนกับกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นทั้งตลาดขนาดใหญ่และฐานการผลิตขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมต่อกันทางบก สามารถพัฒนาเป็นเครือข่ายการผลิตใหม่หรือฐานการผลิตได้
ทั้งนี้ เงินลงทุนจากสาธารณรัฐเกาหลีส่วนใหญ่เน้นลงทุนไปที่ประเทศเวียดนามมากกว่าประเทศอื่น โดยมีการใช้เวียดนามเป็นฐานและขยายไปยังภูมิภาคนี้ ฐานที่มั่นในเวียดนามจะช่วยเชื่อมต่อไปยังประเทศอินเดีย (ผ่านเมียนมาและไทย) และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังตลาดขนาดใหญ่อย่างจีนได้ ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์ที่ได้เปรียบด้านการส่งออกเมื่อเทียบกับความยากลำบากในการส่งออกไปจีนในปัจจุบัน
นอกจากประเทศเวียดนามที่สาธารณรัฐเกาหลีให้ความสำคัญอย่างยิ่งแล้วนั้น สาธารณรัฐเกาหลียังมองประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องมาจากศักยภาพภาพรวมที่ดีของประเทศไทย ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอุตสาหกรรมที่มั่นคงมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่ญี่ปุ่นได้สร้างไว้ สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เพื่อเชื่อมโยงกับเวียดนาม และสร้างกลยุทธ์การรุกตลาดร่วมกันได้
ประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีมีความจำเป็นในการสร้างระบบใหม่ขึ้นมาเพื่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจร่วมกัน สาธารณรัฐเกาหลีมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับหลายประเทศในภูมิภาค (เวียดนาม, กัมพูชา, และกำลังเจรจากับมาเลเซีย) แต่ยังขาด FTA กับประเทศไทย การมี FTA จะช่วยเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมการผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต สาธารณรัฐเกาหลีสามารถเข้าไปสร้างระบบใหม่ๆ ในไทยที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเกาหลีได้ แตกต่างจากระบบเดิมที่ญี่ปุ่นสร้างไว้สำหรับอุตสาหกรรมดั้งเดิม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงมาตรการและอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า เช่น มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของไทยให้สะดวกและเกิดประโยชน์ต่อการเข้าถึงของบริษัทเกาหลีมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสดีในการพัฒนาธุรกิจไทย ให้สามารถทำงานร่วมกับบริษัทเกาหลี “Work with Korea” และยกระดับกระบวนการผลิตของไทยร่วมกับบริษัทเกาหลีทำให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น “Made with Korea” ทำให้สินค้าไทยสามารถส่งออกไปยังตลาดเกาหลีและตลาดที่มั่นใจสินค้าเกาหลีได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากการบริหารจัดการของบริษัทเกาหลีมีมาตรฐานในระดับสูง รวมถึงวัฒนธรรมการทำงานที่มีความคล่องตัว
ในยุคปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด ประเทศอำนาจขนาดกลาง (Middle Power) จะเติบโตขึ้น โดยมีการค้าและสร้างพันธมิตรได้คล่องตัวกว่าประเทศมหาอำนาจ ซึ่งประเทศอำนาจขนาดกลางเหล่านี้สามารถผลักดันอิทธิพลของตนเองได้ผ่านการทูต เศรษฐกิจ หรือการทหาร และมักมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพลวัตของอำนาจโลก ส่งผลให้ประเทศอำนาจขนาดกลางมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ดีอย่างต่อเนื่องในยุคปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐเกาหลีและประเทศไทยยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หรือจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (Comprehensive Economic Partnership Agreement: CEPA) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายกำลังพยายามผลักดันให้การเจรจาสำเร็จลุล่วง โดยมีกำหนดการเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งที่ 7 ในเดือนกันยายน ปี 2025 ที่ผ่านมา โดยความตกลง CEPA ระหว่างเกาหลี-ไทย มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความตกลง FTA เกาหลี-อาเซียนที่มีอยู่เดิม และเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เมื่อการเจรจาสำเร็จลุล่วง คาดว่าความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยสาธารณรัฐเกาหลีจะจัดหาสินค้าขั้นกลางให้กับประเทศไทย เพื่อให้ไทยนำไปใช้ในการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ในตลาดการค้าเสรีผ่านข้อตกลงพหุภาคีอื่นๆ ที่ทำร่วมกับเกาหลีใต้ (เช่น FTA เกาหลี-อาเซียน, RCEP) อย่างไรก็ตาม การลงนามในข้อตกลงทวิภาคีจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกขั้น จากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ ปาร์ค ยง-มิน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 68 เพื่อผลักดันปิดดีล FTA ไทย-เกาหลีใต้ สร้างความเชื่อมั่นในการดึงดูดลงทุนเกาหลีใต้ในไทย และ ‘ตั้งเป้าหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ดึงทุนเกาหลี บุกยานยนต์-ดิจิทัล-พลังงานสะอาด ใช้ไทยเป็นฐานผลิต’ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะผลักดันให้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ไทย-เกาหลีใต้ ประสบผลสำเร็จ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสู่การเป็น ‘หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน’ พร้อมเชิญนักลงทุนเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนเพิ่มในไทย
จากบทสัมภาษณ์ของ ฯพณฯ ศุภจี ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ต่อ FTA ครั้งนี้ ว่า “มีความสำคัญมากโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่บริบทเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเร่งเดินหน้าการเจรจาโดยมุ่งมั่นที่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่เกิดประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win) ตนได้เชิญชวนนักลงทุนจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะสาขาที่เกาหลีใต้มีความโดดเด่น อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานสะอาด ดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตสินค้าของเกาหลีใต้เพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งทราบว่า ปัจจุบัน มีนักลงทุนเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทยกว่า 400 บริษัท โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ อาทิ บริษัทฮุนได และบริษัท COSMAX ที่เป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามของเกาหลีใต้ เกาหลีใต้จึงขอให้รัฐบาลไทยช่วยดูแลและสนับสนุนการลงทุนของบริษัทเกาหลีใต้ในไทย โดยตนยืนยันว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้มีความโปร่งใสและอำนวยความสะดวกต่อนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ไทยได้แสดงความพร้อมในการเข้าเป็นสมาชิก OECD และขอบคุณเกาหลีใต้ที่สนับสนุนไทยในเรื่องดังกล่าว”
ในปี 2567 สาธารณรัฐเกาหลีเป็นคู่ค้าอันดับ 13 ของไทย การค้าระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี มีมูลค่า 15,300 ล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออกไปสาธารณรัฐเกาหลี มูลค่า 5,957 ล้านดอลลาร์ และไทยนำเข้าจากสาธารณรัฐเกาหลีมูลค่า 9,343 ล้านดอลลาร์ สำหรับในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม–กันยายน 2568) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 11,685.84 ล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออกไปเกาหลีใต้ มูลค่า 4,435.02 ล้านดอลลาร์ และไทยนำเข้าจากเกาหลีใต้ มูลค่า 7,250.82 ล้านดอลลาร์
สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม แผงวงจรไฟฟ้า และน้ำมันสำเร็จรูป และสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น
จากข้างต้น การขยายเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยไปสู่ตลาดเกาหลีและตลาดของประเทศที่นำเข้าสินค้าเกาหลีจึงมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากการทำ FTA และ CEPA อย่างเหมาะสม เนื่องจากผู้บริโภคชาวเกาหลีและผู้บริโภคสินค้าเกาหลีที่กระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกมีจำนวนมากและมีลักษณะเฉพาะ ราคาและคุณภาพสินค้าอุปโภคบริโภคของเกาหลีอยู่ในระดับกลาง และบางสินค้าเริ่มอยู่ในระดับสูง เช่น มือถือแบรนด์ซัมซุงบางรุ่น โดยทั่วไป สินค้าเกาหลีมีราคาไม่แพงและไม่ถูกเกินไป เนื่องจากกระบวนการผลิตและการตลาดที่เฉพาะตัวของบริษัทเกาหลี หากพูดถึงตลาดเกาหลีแล้ว นักกลยุทธ์ทางธุรกิจจำนวนมากได้มองว่า ถึงแม้ประชากรเกาหลีมีแค่ประมาณ 50 ล้าน ซึ่งถือว่าน้อย แต่ตลาดเกาหลีมีกำลังซื้อสูงมาก และชาวเกาหลีมีนิสัยตามกระแสและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และมีความถี่ในการบริโภคอุปโภคสินค้า
สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังตลาดเกาหลีหรือร่วมผลิตสินค้ากับบริษัทเกาหลี ควรยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น เช่น “Made with Korea” หากมองตลาดเกาหลีแล้ว ผู้ประกอบการไทยควรคำนึงอย่างน้อย 7 ข้อ ดังต่อไปนี้ คือ

ผอ.หลักสูตร Korean Studies for International Management คณะบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย