Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สหรัฐฯกลับมาขายอาวุธให้กัมพูชาหวังสกัดอำนาจจีน สส.ฟาดทรัมป์'หลังคำอวย'
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สหรัฐฯกลับมาขายอาวุธให้กัมพูชาหวังสกัดอำนาจจีน สส.ฟาดทรัมป์'หลังคำอวย'

8 พ.ย. 68
15:44 น.
แชร์

สหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (6 พฤศจิกายน) ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยกเลิกการห้ามค้าขายอาวุธและยุทโธปกรณ์ทางทหารกับกัมพูชา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญของวอชิงตันในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกคำสั่งห้ามการส่งออกอาวุธไปยังกัมพูชาในปี 2564 โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการขยายอิทธิพลของกองทัพจีนในประเทศ รวมถึงความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนและข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชันภายในรัฐบาลกัมพูชา 

มาตรการดังกล่าวเคยถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจำกัดอิทธิพลของปักกิ่งในภูมิภาค แต่การตัดสินใจล่าสุดของทรัมป์กลับสะท้อนถึงทิศทางใหม่ที่เน้นการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันเสถียรภาพในภูมิภาคและตอกย้ำบทบาทนำของสหรัฐฯ

ฟื้นสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ความกังวลต่ออิทธิพลจีนยังไม่คลี่คลาย

ประกาศใน Federal Register ระบุว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ตัดสินใจยกเลิกข้อจำกัดนี้ “โดยพิจารณาจากความมุ่งมั่นของกัมพูชาในการแสวงหาสันติภาพและความมั่นคง รวมถึงการกลับมามีปฏิสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อีกครั้งในด้านความร่วมมือทางทหารและการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ” ทั้งนี้ การอนุมัติการขายอาวุธจะดำเนินการ “เป็นกรณีไป” และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

แม้การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของความร่วมมือด้านความมั่นคง แต่เจ้าหน้าที่วอชิงตันยังคงกังวลต่อการขยายอิทธิพลของจีนในกัมพูชา โดยเฉพาะการปรับปรุงและขยายฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่าอาจเปิดโอกาสให้กองทัพเรือจีนเข้ามาใช้ประโยชน์ในเชิงยุทธศาสตร์ได้ ก่อให้เกิดความไม่สบายใจต่อประเทศเพื่อนบ้านและต่อโครงสร้างความมั่นคงในทะเลจีนใต้ที่เป็นพื้นที่พิพาท

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การตัดสินใจของรูบิโอเป็นการยอมรับ “ความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่กัมพูชาอยู่ในจุดที่สหรัฐฯ จำเป็นต้องดึงกลับมาอยู่ในวงอิทธิพล ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาในกรุงวอชิงตันยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้

การประกาศยกเลิกข้อห้ามมีขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีต เฮ็กเสธ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ และกัมพูชาตกลงจะกลับมาเริ่มต้นการฝึกซ้อมทางทหารหลักร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งหยุดไปนานถึงแปดปี นับเป็นสัญญาณสำคัญของการรื้อฟื้นความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่เคยชะงักตั้งแต่ปี 2560

ในช่วงเวลาเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้เข้าร่วมพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิงฉบับปรับปรุงระหว่างไทยและกัมพูชาในกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ร่วมเป็นสักขีพยาน ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่คร่าชีวิตทหารหลายสิบคนและทำให้ประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพหนีภัย ทรัมป์ได้รับเครดิตว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกดดันให้ทั้งสองฝ่ายหันกลับมาเจรจา โดยทรัมป์เคยขู่จะระงับสิทธิทางการค้าของทั้งสองประเทศหากความรุนแรงยังดำเนินต่อไป

ระหว่างพิธีลงนาม นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวยกย่องบทบาทของทรัมป์ พร้อมประกาศเสนอชื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เพื่อยกย่อง “ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นในการยุติความขัดแย้ง” นอกจากนี้ กัมพูชายังเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ได้รับการอนุมัติข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ ภายหลังข้อตกลงหยุดยิง รวมถึงการเพิ่มความร่วมมือกับสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ในการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติซึ่งเชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางการเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ทั่วโลก

การเมืองในสหรัฐฯ และเสียงวิจารณ์ในวอชิงตัน

แม้รัฐบาลทรัมป์จะยกให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็น “ชัยชนะทางการทูต” แต่เสียงคัดค้านจากภายในประเทศกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกรกอรี มีคส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต และประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของสภาผู้แทนฯ ออกแถลงการณ์ระบุว่า ทรัมป์ “พลิกนโยบายของสหรัฐฯ ต่อกัมพูชาโดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงแห่งชาติหรือค่านิยมด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ” พร้อมชี้ว่าการยกเลิกข้อห้ามขายอาวุธเพียงเพราะรัฐบาลกัมพูชา “เอาใจทรัมป์” เพื่อหวังให้ทรัมป์ได้รับรางวัลโนเบล ถือเป็นการกระทำที่ “ประมาทและอันตราย”

ในด้านมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ เกรกอรี โพลิง จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติ (CSIS) กรุงวอชิงตัน วิเคราะห์ว่า การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งนี้อาจมีผลเชิงสัญลักษณ์มากกว่าผลในทางปฏิบัติจริง เพราะกัมพูชา “ไม่น่าจะมีขีดความสามารถหรือทรัพยากรในการจัดซื้ออาวุธเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐฯ ได้” โพลิงยังกล่าวว่า “การที่ทรัมป์ไม่ให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิมนุษยชนเท่ารัฐบาลก่อน ๆ อาจทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้ดำเนินต่อได้ยาวนานกว่าเดิม”

อย่างไรก็ตาม โพลิงเตือนว่า การฟื้นความสัมพันธ์จะถูกทดสอบด้วยประเด็นฐานทัพเรือเรียม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปรากฏตัวของจีนในภูมิภาค “หากกัมพูชาไม่เปิดให้เรือรบสหรัฐฯ เข้าจอดหรือเยี่ยมฐานทัพดังกล่าว การยกเลิกข้อห้ามก็อาจเป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางการเมืองชั่วคราวมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง”

ท่ามกลางการถกเถียงนี้ สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าผลักดันยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้การทูตทางทหารและข้อตกลงทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือหลัก ขณะที่กัมพูชาก็พยายามสร้างสมดุลระหว่างอิทธิพลของจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคที่ยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันอำนาจระดับโลก


แชร์
สหรัฐฯกลับมาขายอาวุธให้กัมพูชาหวังสกัดอำนาจจีน สส.ฟาดทรัมป์'หลังคำอวย'