
เป็นเวลา 34 วันแล้วที่ความขัดแย้งระหว่างรัฐสภาและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งผลให้โครงการของรัฐบาลกลางหลายโครงการต้องหยุดชะงักลง รวมถึงโครงการที่ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย การจ่ายเงินเดือนทหารสหรัฐฯ และการดำเนินงานของสนามบิน ทำให้เกิดความโกลาหลไม่แพ้กัน
แม้ปีงบประมาณใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่กลับยังไม่มีการออกกฎหมายเพื่อจัดสรรเงินทุนสำหรับการดำเนินงานสำคัญหลายด้าน พนักงานของรัฐบาลกลางหลายพันคนต้องถูกพักงาน และการต่อสู้ดังกล่าวได้ทำให้เงินทุนที่ต้องจัดสรร (discretionary funds) ประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายรวมประจำปีของสหรัฐฯ ต้องหยุดชะงัก
นับตั้งแต่เดือนตุลาคม กลุ่มวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันและเดโมแครตได้จัดการประชุมส่วนตัวเป็นครั้งคราวเพื่อหาแนวทางแก้ไขภาวะชัตดาวน์รัฐบาลวอชิงตัน แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
แต่ล่าสุด ดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีออกมาให้ชาวอเมริกันได้มีความหวังมากขึ้น เมื่อผู้นำพรรครีพับลิกันและผู้นำพรรคเดโมแครต เริ่มหันหน้ามาเจรจากันเพื่อหาทางออก และผลลัพธ์ดูจะเป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น
จอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ผมรู้สึกว่าทางออกกำลังเป็นไปในแง่ดี" เมื่อถูกถามถึงโอกาสในการยุติการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาล ซึ่งทำให้พนักงานของรัฐบาลกลางจำนวนมากต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่จะเกิดขึ้นจริงในเร็ววันนี้หรือไม่ เขายังเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้
ความเห็นดังกล่าวเป็นการสร้างความหวังเล็กน้อย เพราะเขายังเผยว่า พรรคเดโมแครตได้พยายามจัดสรรเงินทุนของรัฐบาลเข้ากับการขยายเงินอุดหนุนประกันสุขภาพของสหรัฐฯ เพื่อต่ออายุโครงการช่วยเหลือคนจน ซึ่งขณะนี้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการยกเลิกโครงการฟู้ดสแตมป์ หรือคูปองช่วยค่าอาหาร
ด้านดิ๊ก เดอร์บิน วุฒิสมาชิกอันดับสองของพรรคเดโมแครตจากอิลลินอยส์ กล่าวว่า "ผมก็รู้สึกว่าเราเข้าใกล้ทางออกมากขึ้นเช่นกัน" แต่เขารีบเสริมว่า: "เรายังติดอยู่กับหลักการที่ว่าเราจะทำอย่างไรกับค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ"
ซูซาน คอลลินส์ ประธานคณะกรรมการจัดสรรงบประมาณของวุฒิสภาจากรัฐเมน บอกกับผู้สื่อข่าวว่า มีความคืบหน้าในกระบวนการเจรจาเช่นกัน โดยพรรคเดโมแครตได้เสนอถ้อยคำที่เฉพาะเจาะจงเพื่อยุติทางตัน และเจ้าหน้าที่จากทั้งสองฝ่ายได้ทำงานอย่างหนักในช่วงสุดสัปดาห์ เธอกล่าวว่า สัปดาห์นี้พวกเราเห็นทางสว่างมากขึ้น แต่คอลลินส์เตือนว่า: "มันอาจจะล่มอีกครั้งก็ได้ และฉันไม่ได้หมายความว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงแล้ว"
ในขณะเดียวกัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสายกลางกลุ่มหนึ่งจากทั้งสองพรรคได้เสนอแผนประนีประนอม โดยกลุ่มสมาชิกสายกลางในสภาผู้แทนราษฎรสี่คน ซึ่งประกอบด้วยรีพับลิกันสามคนและเดโมแครตหนึ่งคน ได้เสนอแผนที่จะขยายเครดิตภาษีตามกฎหมาย Affordable Care Act ที่เพิ่มขึ้นออกไปเป็นเวลาสองปี แต่มีการกำหนดเพดานใหม่สำหรับผู้ที่มีรายได้อยู่ในระดับสูงของการมีสิทธิ์
การปิดหน่วยงานรัฐบาล (Government Shutdown) เกิดขึ้น เมื่อรัฐสภาสหรัฐฯและประธานาธิบดีไม่สามารถบรรลุข้อตกลงและผ่านกฎหมายจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาลกลางได้ทันก่อนเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ ซึ่งเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม สำหรับการชัตดาวน์ในครั้งนี้ สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่สำคัญ 2 ประเด็น
1. การต่อสู้เรื่องเงินอุดหนุนประกันสุขภาพ (Affordable Care Act Subsidies)
เดโมแครต ซึ่งเป็นฝ่ายขวางการลงคะแนน เรียกร้องให้พรรครีพับลิกันและประธานาธิบดีทรัมป์ ขยายเวลาการให้เงินอุดหนุนภาษีพิเศษ สำหรับแผนประกันสุขภาพภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act (ACA) เงินอุดหนุนเหล่านี้จะหมดอายุลงในสิ้นปี 2025 นี้ หากไม่ขยาย จะทำให้เบี้ยประกันสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ประธานาธิบดีทรัมป์และพรรครีพับลิกันที่มีเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ปฏิเสธที่จะเจรจา เรื่องการดูแลสุขภาพ โดยยืนยันให้เดโมแครตลงคะแนน "เปิดรัฐบาล" ก่อน ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะไม่ยอมถูกกดดันจากพรรคเดโมแครต และกล่าวว่า ACA เป็นกฎหมายที่แย่มาก
2. ข้อขัดแย้งเรื่องงบประมาณและการลดงบประมาณ (Spending Levels and Rescissions)
แม้ประเด็นสุขภาพจะเป็นจุดแตกหัก แต่โดยพื้นฐานแล้ว การชัตดาวน์ก็เกิดจากความไม่ลงรอยกันในประเด็นการใช้จ่ายโดยรวม เนื่องจากรีพับลิกันต้องการควบคุมและลดระดับการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างเข้มงวด และผลักดันให้มีการตัดงบประมาณในบางโครงการที่ถูกริเริ่มภายใต้รัฐบาลเดโมแครตชุดก่อน แน่นอนว่า พรรคเดโมแครตเองก็ต่อต้านการลดงบประมาณในโครงการหลัก ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญของนโยบายสังคม รวมถึงโครงการช่วยเหลืออาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย (SNAP/Food Stamps) ซึ่งผลประโยชน์กำลังจะหมดลงเนื่องจากการชัตดาวน์