ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยอมรับว่า สหรัฐฯ ได้อนุมัติให้สำนักข่าวกรองกลาง หรือ CIA เริ่มปฏิบัติการลับภายในเวเนซุเอลา นับเป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เพราะนี่ถือเป็นความลับของรัฐที่ละเอียดอ่อน และต้องถูกปิดเป็นความลับขั้นสูงสุด
การอนุมัติดังกล่าวจะทำให้องค์กรอิสระของสหรัฐฯ มีอำนาจในการปราบปรามเครือข่ายค้ายาเสพติดของประเทศเวเนซุเอลามากขึ้น แน่นอนว่า ผู้นำเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง สื่อต่างประเทศและนักวิเคราะห์มองว่า ปฏิบัติการดังกล่าวอาจทำให้ระบอบของมาดูโรถูกโค่นล้มและทำลายเสถียรภาพของเขา
Spotlight ชวนอ่านเบื้องหลังท่าทีดังกล่าวของทรัมป์ เหตุใดจึงมีคำสั่งเช่นนี้ พร้อมเปิดปฏิบัติการลับว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลา
The New York Times คือสื่อที่รายงานเกี่ยวกับการอนุมัติของทรัมป์ แต่ในรายละเอียดก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า CIA กำลังวางแผนปฏิบัติการในเวเนซุเอลาอย่างไร หรือแผนเหล่านั้นถูกเก็บไว้เป็นแผนฉุกเฉินเท่านั้นหรือไม่ แต่จริง ๆ แล้ว หน่วยงานสายลับของสหรัฐฯ แห่งนี้ มีประวัติปฏิบัติการต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้มาอย่างยาวนาน
ในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันพุธที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ร่วมกับแคช พาเทล ผู้อำนวยการ FBI และแพม บอนดี อัยการสูงสุดสหรัฐฯ ทรัมป์ถูกซักถามเกี่ยวกับรายงานของ The New York Times นักข่าวถามทรัมป์ว่าทำไมคุณถึงอนุมัติให้ CIA เข้าไปปฏิบัติการลับในเวเนซุเอลา?
ทรัมป์ตอบว่า เขาอนุมัติด้วยเหตุผลสองประการ "อันดับแรก เวเนซุเอลาได้ปล่อยนักโทษออกจากเรือนจำเข้ามาสู่สหรัฐอเมริกา [...] และอีกเรื่องคือยาเสพติด สหรัฐฯ มียาเสพติดจำนวนมากระบาดอยู่ทั่วประเทศ และยาเหล่านั้นมาจากเวเนซุเอลา ซึ่งลักลอบขนส่งผ่านทางทะเล ดังนั้น สหรัฐญ จึงต้องหยุดยั้งอาชญากรรมเช่นนี้
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ดำเนินการโจมตีเรือต้องสงสัยขนยาเสพติดในทะเลแคริบเบียนอย่างน้อยห้าครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 27 คน ซึ่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องบินวนอยู่เหนือทะเลแคริบเบียนเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทรัมป์เผยว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาสกัดการลักลอบค้ายาเสพติดทางบกด้วย และกำหนดเป้าหมายที่จะโจมตีกลุ่มค้ายาเสพติดในพื้นที่เพิ่มเติม
การปรากฏตัวทางทหารของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้ได้ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่พลเมืองที่อาศัยอยู่ในกรุงการากัส ประเทศเวเนซุเอลาว่า อาจมีการโจมตีที่อุกอาจมากขึ้นของสหรัฐฯ มีรายงานด้วยว่า สหรัฐฯ ตรึงกำลังพลไว้ทั่วทะเลแคริบเบียนประมาณ 10,000 นาย ไม่ว่าจะอยู่บนเรือรบกลางทะเลหรือในเปอร์โตริโก ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ
แม้เหตุผลที่ทรัมป์อ้างคือการต่อต้านยาเสพติดและอาชญากรรม แต่นักวิเคราะห์และสื่อหลายแห่งมองว่าเป้าหมายหลักที่ซ่อนอยู่คือ การเพิ่มแรงกดดันเพื่อขับไล่นิโคลัส มาดูโร ออกจากตำแหน่ง ซึ่งมาดูโรเองก็ประณามการกระทำนี้ว่าเป็น "รัฐประหารที่จัดฉากโดย CIA"
ก่อนหน้านี้ ในวันเดียวกัน มาดูโรสั่งให้มีการซ้อมรบทางทหารในเขตชานเมืองเปตาเร (Petare) ของกรุงการากัส และในรัฐมีรันดาที่อยู่ใกล้เคียง โดยอ้างว่า เป็นการระดมกำลังทหาร ตำรวจ และกองกำลังพลเรือนเพื่อปกป้องประเทศ
ด้านอีวาน กิล รัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา กล่าวบน Telegram ว่า เวเนซุเอลา "ปฏิเสธคำพูดที่สร้างสงครามและเกินจริงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมองว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นนโยบายการรุกราน การข่มขู่ และการคุกคามต่อเวเนซุเอลา หลังจากที่ทรัมป์ได้ส่งเรือรบ 8 ลำ เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และเครื่องบินขับไล่ไปยังทะเลแคริบเบียน อ้างว่าเป็นการปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติด
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่า มาดูโรเองก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมค้ายาเสพติดที่เรียกว่า Cartel of the Suns รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของเวเนซุเอลามีประวัติเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดกลุ่มนี้ด้วย
มาดูโรขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกในปี 2556 หลังจากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ถึงแก่อสัญกรรม แต่ความชอบธรรมของตำแหน่งที่เขาได้มานี้ ไร้ความเป็นธรรมและไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ถูกฝ่ายค้านและองค์กรนานาชาติประณามว่ามีการฉ้อโกงและกีดกันคู่แข่ง นอกจากนี้ มาดูโรถูกวิจารณ์ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนและใช้กำลังปราบปรามการประท้วงต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณของความตึงเครียดภายในประเทศ