Licadho องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา รายงานการจับกุมนักข่าวชาวเขมร 2 คน โดยรัฐบาลกัมพูชาได้ตั้งข้อหากบฏต่อชาติ หลังจากที่นักข่าวคนหนึ่งได้ โพสต์รูปหมู่บริเวณหน้าปราสาทตาควาย แต่เผยให้เห็นระเบิด PMN-2 ที่กองทัพกัมพูชาติดตั้งไว้ หลังลักลอบยึดตัวปราสาทตาควายได้สำเร็จ
นาย พน สุภา และนาย เพียบ พีร่า เป็นผู้สื่อข่าวของ TSP 68 TV Online หรือ TSP 68 Online โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายเพียบได้โพสต์ภาพดังกล่าวผ่านบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาเอง แต่ภาพถ่ายนี้ได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ทางการไทยและสังคมออนไลน์รับรู้ว่า มีวัตถุคล้ายทุ่นระเบิด PMN-2 ถูกวางไว้บริเวณปราสาทตาควาย ในเวลาต่อมา ทั้งนักข่าวสองคนถูกจับกุมในข้อหา “ให้ข้อมูลแก่ต่างประเทศซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ”
RFI Khmer สถานีวิทยุ RFI (Radio France Internationale) ภาคภาษาเขมร สถานีวิทยุระหว่างประเทศของฝรั่งเศส (RFI) รายงานว่า นักข่าวออนไลน์ 2 คน ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดเสียมราฐ หลังจากลงพื้นที่รายงานข่าวในจังหวัดอุดรมีชัย บริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย ซึ่งทั้งคู่อาจโดนโทษจำคุก 7 ถึง 15 ปี จากการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทย
ทั้งนี้ “ปราสาทตาควาย” หรือที่ชาวกัมพูชาเรียกว่า "ปราสาทตากระบือ" ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยอยู่ในอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย ขณะที่ฝั่งกัมพูชาจะอยู่ติดกับอุดรมีชัย หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ กัมพูชายึดปราสาทตาควายเอาไว้ แต่ดันมีภาพหลุดจากการโพสต์ของนักข่าวคนดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลกัมพูชานับว่าเป็นการเอาความลับของทางราชการไปเปิดเผย
ก่อนหน้านี้ นางสาวบุญ ชัยสรวง ภรรยาของนายเพียบ พีร่า ได้เผยแพร่วิดีโอผ่านบัญชีเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 โดยมีเนื้อหาหลักกล่าวขอโทษอย่างนอบน้อมต่อสมเด็จฮุน เซน และ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต พร้อมกับหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจ
เธอกล่าวว่า สามีของเธอได้ทำผิดพลาดโดยขาดความรู้ความเข้าใจ และไม่ได้มีเจตนาร้ายในการทำลายชื่อเสียงของประเทศชาติ เธอได้ขอให้ผู้นำทั้งสองพิจารณาปล่อยตัวสามีของเธอและเพื่อนนักข่าวอีกคน โดยเธอยืนยันว่าสามีของเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มฝ่ายค้านหรือกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล
วิดีโอดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ใจของเธอและครอบครัวที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่สามีถูกตั้งข้อหากบฏ ซึ่งอาจต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลานาน การขอความช่วยเหลือในลักษณะนี้ถือเป็นเรื่องปกติในกัมพูชา เนื่องจากผู้นำที่มีอำนาจสูงมักจะสามารถเข้าแทรกแซงในคดีความได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าการเรียกร้องผ่านวิดีโอครั้งนี้ได้รับผลตอบรับอย่างไรจากทางการกัมพูชา