Khmer Times รายงานความเคลื่อนไหวของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ที่ได้ยื่นอุทธรณ์อย่างเป็นทางการต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อขอให้มีการแทรกแซงทางการไทยอย่างเร่งด่วน ให้มีการปล่อยตัวทหารชาวกัมพูชา 18 รายที่ยังถูกคุมตัวอยู่ โดยอ้างว่า กองทัพไทยกักขังทหารโดยพลการ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และละเมิดหลักมนุษยธรรม
นายแก้ว เรมี ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึง กานนา ยุดกิฟสกา ประธานผู้รายงานแห่งคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ (Chair-Rapporteur of the UN Working Group on Arbitrary Detention) ลงวันที่เมื่อ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่ระบุว่า “การกระทำดังกล่าวเป็นการบ่อนทำลายข้อตกลงหยุดยิงและละเมิดพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศ”
จดหมายฉบับนี้อ้างอิงสนธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี ซึ่งรวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งห้ามการจับกุมและคุมขังโดยพลการ และอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 3 ซึ่งกำหนดให้มีการปล่อยตัวและส่งกลับทหารโดยไม่ชักช้าหลังจากยุติการสู้รบ
สำนักข่าวกัมพูชา The Phnom Penh post เขียนบทความ “การจับมือกลายเป็นกับดัก: การทรยศทหารกัมพูชา 20 นาย หลังหยุดยิง” โดยเนื้อหาโจมตีรัฐบาลและกองทัพไทยว่าลักพาตัวทหาร 20 นาย เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ไทยและกัมพูชาต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง
บทความตอนหนึ่งระบุว่า ทหารกัมพูชาถูกควบคุมตัวมา 41 วันแล้วนับตั้งแต่ถูกจับกุม ทหารสองนายที่ถูกส่งตัวกลับมามีสภาพร่างกายพิการ ส่วนอีกนายมีอาการบาดเจ็บทางจิตใจ ทั้งคู่มีอาการป่วยหนัก ร่างของทหารที่เสียชีวิตถูกส่งกลับเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ณ เวลานี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสถานะทางกฎหมายหรือการปฏิบัติต่อทหารกัมพูชา 18 นายที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยเป็นอย่างไร
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 กองทัพบก โดยความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ ได้อำนวยความสะดวกให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC) ประจำกรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมเชลยศึกกัมพูชา จำนวน 18 นาย ณ สถานที่ควบคุมตัวในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าพบและพูดคุยกับเชลยศึกอย่างอิสระ ตามที่ ICRC แสดงความประสงค์ ทั้งนี้ การปฏิบัติของกองทัพบกยังคงยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพันธกรณีตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีมาโดยตลอด และไม่อนุญาตให้คณะผู้แทนฝ่ายไทยหรือสื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ระหว่างการพบปะพูดคุยกับเชลยศึก เพื่อสะท้อนถึงความโปร่งใส
สำหรับประเด็นการส่งคืนเชลยศึก คณะ ICRC ได้ระบุว่า ในอนาคตเมื่อฝ่ายไทยและกัมพูชาสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการปล่อยตัวเชลยศึก ทางคณะ ICRC ยินดีทำหน้าที่เป็นตัวกลางและเป็นพยานในระหว่างการส่งมอบ โดยยังคงยึดมั่นในจุดยืนแห่งความเป็นกลาง ซึ่งเป็นมาตรฐานการทำงานที่มุ่งเน้นด้านมนุษยธรรม โดยไม่เลือกปฏิบัติหรือสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นการเฉพาะ
ล่าสุด พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า แม้ข้อตกลงหยุดยิงที่ไทยและกัมพูชาได้กำหนดร่วมกันไว้ว่าภายในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในพื้นที่นั้น คือฝ่ายไทยยังคงพบว่ากัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ใช้อาวุธโจมตีทหารไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยต้องมีการตอบโต้และป้องกันอธิปไตยของตน ตลอดคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ที่ไม่ปรากฏเสียงการใช้อาวุธในพื้นที่ชายแดน
โดยการควบคุมตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 รายนั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ยังมีการสู้รบอยู่ และทางกัมพูชาไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงจริง ทำให้ไทยต้องดำเนินการควบคุมตัวเชลยศึกทั้งหมด ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 3 ว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก พ.ศ. 2492 ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นรัฐภาคีที่ให้สัตยาบันร่วมกัน และมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเชลยศึกจะได้รับการส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์
แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ที่กองทัพบกยังได้รับรายงานจากหน่วยทหารในพื้นที่ว่า พบการกระทำของทหารกัมพูชาที่มีเจตนาในการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการตรวจพบโดรนลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดน, การแสดงท่าทียั่วยุและสนับสนุนให้ประชาชนชาวกัมพูชาแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อทหารไทย รวมทั้งการรุกล้ำอธิปไตยไทย ลักลอบเข้ามารื้อลวดหนามหรือลอบวางทุ่นระเบิด PMN-2 ของทหารกัมพูชา ที่หวังต่อชีวิตและการสูญเสียของทางฝั่งไทย
การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธในพื้นที่นั้นยังไม่สิ้นสุดลง แม้สถานการณ์ภาพรวมจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
สำหรับการดูแลเชลยศึกนั้น กองทัพบกขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามข้อกำหนดในอนุสัญญาเจนีวาอย่างครบถ้วน ซึ่งที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เข้ามาตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ และพบปะพูดคุยกับเชลยศึกในพื้นที่ควบคุมรวม 2 ครั้ง ทั้งนี้ หากมีหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ ต้องการเข้ามาตรวจสอบกระบวนการดูแลและควบคุมตัวเชลยศึก สามารถประสานผ่านกลไกระหว่างประเทศ หรือกองทัพบกได้ตลอดเวลา