สหรัฐฯ ในรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้านโยบายกวาดล้างคนเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการกดดันประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกและแคนาดาด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้จัดการกับเส้นทางลักลอบเข้าเมืองตามชายแดน การส่งกลับคนเข้าเมืองไปยังประเทศแถบอเมริกาใต้ และนโยบายกีดกันคนเข้าเมือง ด้วยการยกเลิกวีซ่าโครงการต่าง ๆ ซึ่งภาพจำของแรงงานผิดกฎหมายส่วนใหญ่ มักเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ สหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และหน่วยพิเศษต่าง ๆ หลายร้อยนาย เปิดปฏิบัติการบุกโรงงานฮุนได แบรนด์ผลิตรถยนต์สัญชาติเกาหลีใต้ขนาดใหญ่ในรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อควบคุมตัวแรงงานผิดกฎหมายราว 450 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “ชาวเกาหลีใต้” มีจำนวนประมาณ 300 คน โดยอ้างว่า ก่อนหน้านี้ ได้สืบสวนมาหลายสัปดาห์แล้ว และถือเป็นการกวาดล้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองของรัฐบาลทรัมป์
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว จุดชนวนให้สงสัยว่าแท้จริงแล้ว แรงงานชาวเกาหลีใต้ในสหรัฐฯ มีจำนวนมากเพียงใด และส่วนใหญ่เข้าสหรัฐฯ เพื่อไปทำงานด้านใดบ้าง? จากการประมาณการของสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ในปี 2023 มีประชากรในสหรัฐอเมริกาประมาณ 2,000,000 คนที่ระบุตัวตนว่าเป็นชาวเกาหลีใต้ ขณะที่ข้อมูลในปีเดียวกันนั้นจาก Pew Research Center ระบุว่า ในจำนวนนี้ เป็นผู้อพยพชาวเกาหลีใต้ (ไม่ได้เกิดในสหรัฐฯ) ประมาณ 1,030,000 คน
ทั้งนี้ ชาวเกาหลีใต้ในอเมริกามีการทำงานที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเข้ากับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และความสามารถของพวกเขา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชุมชนชาวเกาหลีขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า “โคเรียนทาวน์” โดยเฉพาะในมหานครลอสแอนเจลิสเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรชาวเกาหลีนอกประเทศเกาหลีมากที่สุด รองลงมาเป็นมหานครนิวยอร์ก มีประชากรชาวเกาหลีมากเป็นอันดับสอง โดยมีศูนย์กลางเมืองที่หนาแน่นในแมนฮัตตันบนถนนสายที่ 32 ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องร้านอาหารและสถานบันเทิง รวมถึงชานเมืองของรัฐนิวเจอร์ซีย์
จากการสำรวจหลายสถานบัน ส่วนใหญ่พบว่า ชาวเกาหลีใต้มักเป็นเจ้าของหรือทำงานในธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ร้านขายของชำ ร้านอาหารเกาหลี ร้านค้าปลีก และร้านซักรีด ธุรกิจเหล่านี้เป็นรากฐานที่สำคัญของชุมชนชาวเกาหลีในหลายเมืองของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังทำงานในอาชีพเฉพาะทาง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีศักยภาพสูง เช่น แพทย์ ทนายความ นักบัญชี และผู้เชี่ยวชาญด้านไอที
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสัญชาติเกาหลีใต้ ค่อนข้างเฟื่องฟูในสหรัฐฯ ทั้งบริษัทเกาหลีขนาดใหญ่ หรือที่รู้จักกันในเครือ Chaebols อย่าง Samsung และ LG มีสำนักงานใหญ่ในอเมริกาเหนือและจ้างพนักงานชาวเกาหลีจำนวนมากในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น วิศวกร นักวิจัย และผู้บริหาร รวมไปถึงภาคการผลิต โดยมีชาวเกาหลีใต้จำนวนหนึ่งทำงานในโรงงานผลิตต่างๆ เช่น โรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ของ Hyundai และ LG Energy Solution ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทเกาหลีในสหรัฐฯ
หลังจากการจับกุมครั้งใหญ่ ล่าสุด รัฐบาลเกาหลีใต้ออกมาเปิดเผยว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในการปล่อยตัวพลเมืองของตนที่ถูกควบคุมตัวในปฏิบัติการบุกจับผู้อพยพครั้งใหญ่ที่โรงงานฮุนไดในจอร์เจียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายคัง ฮุนซิก หัวหน้าสำนักประธานาธิบดีเกาหลีใต้กล่าวว่า หากขั้นตอนการทำเอกสารเสร็จสิ้น รัฐบาลเกาหลีใต้จะส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำไปรับแรงงานผิดกฎหมายชาวเกาหลีใต้กลับบ้าน อีกทั้งยังให้คำมั่นว่า ทางการเกาหลีใต้กำลังพยายามปรับปรุงระบบวีซ่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต สื่อในทั้งสองประเทศรายงานว่า รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ โช ฮยอน คาดว่าจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในวันนี้ (8 กันยายน 2568)
ทำเนียบขาวออกมาปกป้องปฏิบัติการของฮุนได โดยปัดความกังวลว่า การบุกจู่โจมครั้งนี้อาจขัดขวางการลงทุนจากต่างชาติ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาโจมตีการบุกจู่โจมครั้งนี้ผ่านโพสต์บนโซเชียลมีเดีย และเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติจ้างงานชาวอเมริกัน เขาระบุในโพสต์ว่า สหรัฐฯ จะทำให้บริษัทต่างชาติสามารถนำ "บุคลากรทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยมมาสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลก" ได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ขอให้บริษัทเหล่านี้ "จ้างและฝึกอบรมคนงานชาวอเมริกัน" เป็นการตอบแทน
พนักงานคนหนึ่งในโรงงานให้สัมภาษณ์กับบีบีซีเกี่ยวกับความตื่นตระหนกและความสับสนระหว่างการบุกตรวจค้น เขากล่าวว่า พนักงานส่วนใหญ่ที่ถูกควบคุมตัวเป็นช่างเครื่องที่กำลังติดตั้งสายพานการผลิตในพื้นที่ และได้รับการว่าจ้างจากผู้รับเหมา
วิดีโอที่เผยแพร่โดยเจ้าหน้าที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ หรือ ICE แสดงให้เห็นคนงานชาวเอเชียถูกมัดไว้หน้าอาคาร โดยบางคนสวมเสื้อกั๊กสีเหลืองที่มีชื่อต่างๆ เช่น "Hyundai" และ "LG CNS" ทั้งนี้ สำนักงานฯ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า "บุคคลที่มีวีซ่าระยะสั้นหรือวีซ่าเพื่อการพักผ่อนไม่มีสิทธิ์ทำงานในสหรัฐฯ" และเสริมว่าการบุกตรวจค้นมีความจำเป็นเพื่อปกป้องงานของชาวอเมริกัน