เศรษฐกิจไทยโตสู้เพื่อนบ้านไม่ได้มาหลายปี ทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนต่างก็ลำบาก และถ้าเข้าไปดูรายละเอียดในแต่ละภาคส่วน แต่ละอุตสาหกรรม ก็จะพบว่ามีความท้าทายอยู่เต็มไปหมด
เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ภาคธุรกิจจึงหวังว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แม้ไม่สามารถทำให้ปัญหาหายไปได้ทั้งหมด แต่ก็หวังว่ารัฐบาลจะเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่เร่งด่วนให้เบาบางลง ดังนั้น เสียงฝากความหวังและฝากการบ้านไปถึงรัฐบาลใหม่จึงดังขึ้นมาในช่วงนี้ รวมถึงความเห็นของภาคธุรกิจที่ SPOTLIGHT ได้พูดคุยมา ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวว่า ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความผันผวนและเปราะบางจากทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การค้าและการลงทุนที่มีข้อจำกัด ตลอดจนแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนและต้นทุนภาคธุรกิจที่สูงขึ้น หอการค้าฯมีความคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าอย่างจริงจัง และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ประกอบด้วยบุคลากรคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถ เข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจ และยึดมั่นในประโยชน์ของประเทศและประชาชนเหนือผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อร่วมกันฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทย
สำหรับทิศทางการบริหารประเทศ หอการค้าไทยเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน 4 ด้านที่รัฐบาลได้ประกาศ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต่อการฟื้นฟูประเทศในช่วงเวลานี้ ได้แก่
1. ด้านเศรษฐกิจ: ดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพ ทั้งค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน การเดินทาง และค่าขนส่ง แก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ควบคู่กับการสร้างรายได้และโอกาสใหม่ให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ และชุมชนฐานราก
2. ด้านความมั่นคงชายแดน: จัดการปัญหาพิพาทชายแดนด้วยแนวทางสันติ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และดูแลเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วและทั่วถึง
3. ด้านภัยธรรมชาติ: พัฒนาระบบเตือนภัย การป้องกัน และกลไกเยียวยาฟื้นฟู เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม ทันท่วงที และสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง
4. ด้านภัยสังคม : เร่งรัดมาตรการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การหลอกลวงออนไลน์ รวมถึงปัญหาการพนันและการพนันออนไลน์ โดยสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศอย่างจริงจัง
“นอกจากนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯอยากให้เร่งแก้ไขปัญหาการส่งออก การเจรจาภาษีสหรัฐอเมริกา และ FTA เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ พร้อมสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในมาตรการเชิงรุก โดยเฉพาะโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และการเร่งสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวไทยในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนกระจายสู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนั้น การเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้กลับมานั้นเป็นเรื่องจำเป็น” ประธานกรรมการหอการค้าไทยฝากไปถึงรัฐบาล
ดร.พจน์กล่าวอีกว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยพร้อมสนับสนุนภารกิจเร่งด่วนทั้ง 4 ด้านอย่างเต็มที่ ด้วยความมุ่งมั่นและจริงจัง เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐบาลบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย บอกกับ SPOTLIGHT ถึงความคาดหวังของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่อยากเห็นจากรัฐบาลในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ว่า มี 4 เรื่องเร่งด่วนที่คาดหวังอยากเห็นรัฐบาล-กระทรวงการคลังดำเนินการ ดังนี้
1. ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ขยายตัวแค่ 2.8% ขณะที่เวียดนามโตเกือบ 8% มาเลเซีย 4.4% สิงคโปร์ 4.4% อินโดนีเซีย 5.1% ฟิลิปปินส์ 5.5% เป็นสิ่งที่กังวลว่าสถานการณ์เศรษฐกิจเติบโตต่ำแบบนี้จะส่งผลกระทบให้ปัจจัยที่รุมเร้าเอสเอ็มอีไทยอยู่นั้นรุนแรงขึ้น ทั้งการปรับตัวของเอสเอ็มอีที่ยังปรับตัวได้ไม่ดี และกำแพงภาษี ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ยังเกรงว่าจะเป็นคลื่นใต้น้ำที่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของเอสเอ็มอีไทย
ทั้งนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต้องออกแบบเฉพาะ มุ่งเป้าสำหรับแต่ละเซกเมนต์ เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาของแต่ละเซกเมนต์ และกระตุ้นเศรษฐกิจได้มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องเป็นการกระตุ้นที่สามารถตรวจสอบและติดตามผลได้เหมือนระบบบล็อกเชน
3. อยากให้แก้หนี้ ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ หนี้เสีย หนี้นอกระบบ ทั้งนี้ ในส่วนหนี้ของธุรกิจเอสเอ็มอี ข้อมูลจากการสำรวจโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า หนี้ของเอสเอ็มอีเป็นหนี้ในระบบสถานบันการเงินเพียง 23% เท่านั้น อีก 45% เป็นหนี้แบบไฮบริด คือ ธุรกิจเอสเอ็มอีหนึ่งรายมีทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ขณะที่ 32% เป็นหนี้นอกระบบอย่างเดียว
“น่ากังวลว่า กลุ่มที่เป็นหนี้ไฮบริดทั้งในและนอกระบบ ในอนาคตจะกลายไปเป็นหนี้นอกระบบ แล้วจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของประเทศ การแก้ปัญหานี้ต้องมีเจ้าภาพ มีการทำเรื่องการแก้หนี้ มีผู้ช่วยไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้ เพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีกลับมามีขีดความสามารถอีกครั้ง ซึ่งคาดหวังว่าควรจะเป็นหน่วยงานของกระทรวงการคลัง และถ้าแบงก์ชาติมาร่วมด้วยก็จะเป็นนิมิตหมายที่ดี
“ที่น่าห่วง คือ อัตราการเข้าถึงสินเชื่อในระบบของเอสเอ็มอีต่ำลง ตามที่แบงก์ชาติรายงานว่า สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อน้อยลงประมาณ 5% ส่งผลให้สภาพคล่อง-เงินทุนหมุนเวียนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่ราบรื่นนัก ต้องอาศัยเงินกู้นอกระบบเข้ามาช่วย ซึ่งเมื่อไปอยู่นอกระบบแล้วจะยิ่งแก้ยากและซับซ้อน”
3. ต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นเรื่องการค้าการลงทุน ลดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยกันส่งเสริมให้เกิดการเจรจา เพื่อไม่มีให้มีปัญหาความขัดแย้งแนวชายแดน และต้องส่งเสริมการค้าชายแดนกับทุกประเทศ ไม่ใช่แค่กัมพูชา นอกจากเรื่องการค้าชายแดนแล้ว ความมั่นคงจะเป็นตัวชี้วัดที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจมาเที่ยวประเทศไทยของนักท่องเที่ยวด้วย
4. อยากให้รัฐบาลมีมาตรการยกระดับขีดความสามารถเอสเอ็มอีและแรงงานทั้งระบบ รวมถึงภาคเกษตร ทั้งในเรื่องมาตรฐาน ความสร้างสรรค์ เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อสร้างความแตกต่าง ซึ่งจะช่วยให้สามารถทรานสฟอร์มไปสู่การเป็น ‘ผู้ประกอบการที่มีผลิตภาพสูง’