แม้นานาชาติจะพบหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิบัติต่อประชาชน โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยอย่างโหดร้าย แต่บรรดานายพลของเมียนมากำลังปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหาร พร้อมกับมีการประกาศการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาในวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ที่จะถึงนี้ หลังจากทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนนำโดยนางออง ซาน ซูจี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปี 2564
ก่อนที่จะประกาศการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นปลายปีนี้ รัฐบาลทหารชุดปัจจุบันได้ยกเลิกคำสั่งภาวะฉุกเฉินมีมีผลมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงภายนอกที่ออกแบบมาเพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังทำตามระบอบประชาธิปไตย ขณะที่ยังคงอำนาจไว้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นวิธีที่กองทัพเมียนมาใช้มาตลอดหลายครั้งที่ยึดอำนาจ
แม้จะมีการประกาศเลือกตั้ง แต่หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงการปฏิบัติต่อประชาชนของรัฐบาลทหารเมียนมา เนื่องจากรายงานของสหประชาชาติได้รวบรวมหลักฐานของ ‘การทรมานอย่างเป็นระบบ’ ต่อทั้งผู้ที่ถูกกองทัพควบคุมตัว การประหารชีวิตนักรบที่ถูกจับกุมหรือพลเรือนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ การกักขังเด็กอายุเพียงสองขวบ และการโจมตีทางอากาศใส่โรงเรียน บ้านเรือน และโรงพยาบาล
สหประชาชาติกล่าวว่า "ความถี่และความรุนแรง" ของอาชญากรรมในประเทศได้เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาจนเรียกได้ว่าเป็นการทรมานอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม กองทัพเมียนมาได้ออกมาปฏิเสธหลายครั้งว่าไม่ได้ก่ออาชญากรรม และความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการจัดการกับชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลเรียกว่าเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” แม้สหประชาชาติจะพบหลักฐานการข่มขืนและความรุนแรงทางเพศ และการเสียชีวิตจากการถูกทรมาน
CNN รายงานว่า ตลอดระยะเวลากว่าสี่ปีที่ผ่านมา กองทัพก็ได้ก่อ ‘สงครามกลางเมือง’ ที่โหดร้ายไปทั่วประเทศ โดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารได้ส่งกองทหารเข้าไล่ล่าชนกลุ่มน้อยอย่างนองเลือด เผาและทิ้งระเบิดหมู่บ้าน สังหารหมู่ชาวบ้าน จำคุกฝ่ายตรงข้าม และบังคับชายและหญิงวัยหนุ่มสาวให้เข้าร่วมกองทัพ นับตั้งแต่เขาโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของ ออง ซาน ซูจี
การปะทะส่วนใหญ่เป็นการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม ทั้งกองทัพสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ซึ่งปะทะกันอย่างดุเดือดในรัฐกะเหรี่ยง รวมถึงพื้นที่สำคัญอย่างเมืองเมียวดี รวมถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA), กองทัพอาระกัน (AA) และ กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) ซึ่งเป็นพันธมิตรกันในชื่อ "กลุ่มภราดรภาพ" ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ในหลายรัฐทางตอนเหนือ รวมถึงรัฐฉานและรัฐยะไข่ และกองทัพชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ
มิน อ่อง หล่าย ถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตรและไม่ให้ความร่วมมือ เศรษฐกิจของประเทศพังทลาย และกองทัพของเขาได้สูญเสียพื้นที่จำนวนมากในสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อและรุนแรง แต่ละฝ่ายต่างพยายามชิงความได้เปรียบทางทหาร ทำให้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าความขัดแย้งจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
การเลือกตั้งที่มีแผนจะจัดขึ้นปลายปีนี้ ถูกมองว่าเป็นเพียงการหลอกลวง และเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลทหารใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดูชอบธรรม รัฐบาลทหารกล่าวว่าวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งคือเพื่อ "ระบบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคที่มีระเบียบวินัยอย่างแท้จริง และการสร้างสหภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยและระบบสหพันธรัฐ"
มีคุน ชันนน นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีที่ทำงานร่วมกับชนกลุ่มน้อยมอญในเมียนมา เปิดเผยว่า ด้วยนักการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตยส่วนใหญ่ต้องลี้ภัยหรือถูกจำคุก และมีการปราบปรามและโจมตีประชาชนอย่างกว้างขวาง การลงคะแนนเสียงเช่นนี้จึงไม่อาจถือว่าเสรีหรือยุติธรรมได้ เธอกล่าวว่า “นี่เป็นการเลือกตั้งหลอกลวง... มันไม่ครอบคลุม ไม่ชอบธรรม”
ผู้สังเกตการณ์จำนวนมากได้เตือนว่า มิน อ่อง หล่าย กำลังพยายามทำให้การยึดอำนาจของเขาดูชอบธรรมผ่านการลงคะแนนเสียง และปกครองผ่านพรรคการเมืองหุ่นเชิด
ภายหลังจากการประกาศเลือกตั้ง สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ไม่เคยยอมรับรัฐบาลทหารในฐานะรัฐบาลที่ชอบธรรมของเมียนมา และการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกประณามจากหลายรัฐบาลในภูมิภาค รวมถึงญี่ปุ่นและมาเลเซีย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลือกตั้งนานาชาติกลุ่มหนึ่งกล่าวในแถลงการณ์ร่วมที่เผยแพร่โดยองค์กร International Idea ว่า การเลือกตั้งที่แท้จริงในเมียนมา "เป็นไปไม่ได้ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน" ผู้เชี่ยวชาญชี้ไปที่ "กฎหมายที่เข้มงวดซึ่งห้ามพรรคการเมืองฝ่ายค้าน การจับกุมและกักขังผู้นำทางการเมืองและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย การจำกัดสื่ออย่างรุนแรง และการจัดทำสำมะโนประชากรที่ไม่น่าเชื่อถือโดยรัฐบาลทหารเพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง"
รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งยังมีน้อย แต่พลเรือนจำนวนมากอาจต้องลงคะแนนเสียงในเขตที่มีความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ หรือภายใต้สายตาของทหารติดอาวุธ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวที่บางคนกล่าวว่าอาจนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น
การโจมตีของรัฐบาลทหารได้ทำลายบ้านเรือน โรงเรียน ตลาด สถานที่ศักดิสิทธิ์ตามความเชื่อ และโรงพยาบาล และเป็นสาเหตุหลักของการพลัดถิ่นของประชาชนกว่า 3.5 ล้านคนทั่วประเทศนับตั้งแต่การรัฐประหาร
มีความกังวลว่าผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่รัฐบาลทหารควบคุมจะถูกข่มขู่หรือบังคับให้ลงคะแนน และบางเมืองอาจไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้เลย เนื่องจากรัฐบาลทหารไม่สามารถควบคุมพื้นที่ขนาดใหญ่ภายนอกศูนย์กลางอำนาจและเมืองใหญ่ได้
หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุดของประเทศคือ กองทัพอาระกัน ได้กล่าวว่า จะไม่อนุญาตให้มีการเลือกตั้งในพื้นที่ที่พวกเขาควบคุม ซึ่งรวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐยะไข่ทางตะวันตก และรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นที่ถือว่าตัวเองเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมของเมียนมา ได้เรียกร้องให้ประชาชน "ต่อต้านและขัดขวาง" การเข้าร่วมการลงคะแนนเสียง โดยกล่าวว่ารัฐบาลทหาร "ไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจในการจัดการเลือกตั้ง"