กระทรวงพาณิชย์กัมพูชาได้ตรวจพบว่า ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์นมยี่ห้อโคฟี่ (Kofi) ได้แก้ไขบาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์หลายรายการอย่างผิดกฎหมาย เพื่อหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตในประเทศกัมพูชา ทั้งที่จริงแล้วผลิตในประเทศไทย ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีการจำหน่ายไปทั่วกรุงพนมเปญและในอีกหลายจังหวัดในกัมพูชาแล้ว
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์กัมพูชาได้สั่งให้เรียกคืนผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีการกระทำผิดดังกล่าวทันที โดยมีกำหนดให้เริ่มเรียกคืนตั้งแต่วันนี้ (18 สิงหาคม 68) อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อของบริษัทผู้นำเข้าสินค้าจากไทย
เมื่อเย็นวันที่ 17 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบกรณีนี้จากเรื่องร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับบาร์โค้ดที่ถูกแก้ไข จากรหัส 885 (ผลิตในประเทศไทย) เป็น 884 (ผลิตในประเทศกัมพูชา) โดยเจ้าหน้าที่จากกรมคุ้มครองผู้บริโภค การแข่งขัน และการปราบปรามการทุจริตของกัมพูชา (CCF) ได้ดำเนินการตรวจสอบหลายจุด
เริ่มจากโชว์รูมของบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนถนนเหมาเจ๋อตุงในกรุงพนมเปญ การสอบสวนยืนยันว่ามีการปลอมแปลงบาร์โค้ดจริง และเจ้าของธุรกิจก็ยอมรับ เจ้าหน้าที่ CCF จึงเข้าตรวจสอบคลังสินค้าของบริษัทที่อยู่ใกล้ตลาดเดิมทก็อบ (Deum Thkov) ในเขตบึงตระแบก (Boeung Trabek) ซึ่งเจ้าของร้านก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่พบผลิตภัณฑ์นมโคฟี่ทั้งหมด 205 ลัง แบ่งเป็น 144 ลัง ที่ติดบาร์โค้ดปลอมแล้ว และ 61 ลัง ที่ยังไม่ได้ติด เจ้าของยอมรับว่าได้นำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปจำหน่ายใน 6 จังหวัด ในกัมพูชาและได้มอบเอกสารการนำเข้าให้เจ้าหน้าที่ CCF ตรวจสอบ
The Cambodia Post รายงานว่า เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน กระทรวงจึงดำเนินการทันที โดยผู้นำเข้ามีเวลา 2 วันในการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีการบรรจุภัณฑ์ปลอมแปลง และต้องนำสติกเกอร์บาร์โค้ดกัมพูชาปลอมออก นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ CCF จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อลงโทษผู้ค้าดังกล่าว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ ที่แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิง แต่ความตึงเครียดในการปะทะกลับไม่ได้ลดลงเลย อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่ากรณีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะยังมีผู้นำเข้าจำนวนมากที่นำผลิตภัณฑ์จากจีน เวียดนาม ไทย และประเทศอื่น ๆ มาติดฉลากใหม่เพื่ออ้างว่าผลิตในประเทศกัมพูชาอย่างผิด ๆ
ขณะที่ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากได้แสดงความคิดเห็นในช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อประณามการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณของเจ้าของธุรกิจและเรียกร้องให้มีการลงโทษอย่างเข้มงวด ขณะที่บางส่วนแนะนำให้มีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มากขึ้น
นิกเกอิ เอเชีย รายงานว่า ขณะนี้กระแสชาตินิยมในกัมพูชากำลังทวีความรุนแรงขึ้น ชาวกัมพูชาหลายพันคนบนโซเชียลมีเดียได้ร่วมกันรณรงค์ให้หันมาใช้แบรนด์ท้องถิ่นของเขมรแทนการสนับสนุนธุรกิจและแฟรนไชส์จากไทย กระแสดังกล่าวเริ่มจากการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ ภายใต้แคมเปญบนโซเชียลมีเดียอย่าง “Khmer love Khmer” และ “Boycott Thai Products” ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลาย
บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ชาวกัมพูชาและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างแห่กันออกมาทำคอนเทนต์แบนสินค้าไทย ล่าสุด เพจ Army Military Force ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอมาม่าคัพจำนวน 5 แพ็คถูกเผา ซึ่งคลิปวีดิโอดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวกัมพูชาเป็นอย่างมาก มียอดรับชมกว่า 400,000 วิว
แรงกดดันที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผู้ค้าหลายภาคส่วนได้รับผลกระทบ นิกเคอิเอเชียรายงานว่า บริษัทไทยแห่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบคือกลุ่ม ปตท. โดยสื่อท้องถิ่นรายงานว่า มีสถานีบริการน้ำมัน ปตท. รวมทั้งหมด 186 แห่งในกัมพูชา ซึ่งไม่กี่วันก่อนเจ้าของปั๊มน้ำมันในกัมพูชามีมติถอดป้ายชื่อ ปตท. และโลโก้ออก บางแห่งคลุมด้วยผ้าใบกันน้ำ และมีการเปลี่ยนชื่อที่สื่อว่าเป็นปั๊มน้ำมันของคนกัมพูชา
ด้านตี๋ สิยัม เจ้าของแฟรนไชส์ปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งเป็นน้องชายของตี๋ เสหะ รมว.กลาโหมกัมพูชา นำทีมรีแบรนด์“ปั๊มน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศ”สู่แบรนด์เขมร พีซ ปิโตรเลียม กัมพูชา ในทำนองเดียวกัน ร้านกาแฟ Cafe Amazon ซึ่งเป็นเครือร้านกาแฟในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่มีสาขามากกว่า 250 แห่งในกัมพูชา ก็ตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรเช่นกัน ส่งผลให้พนักงานเกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเอง