ไทย-ออสเตรเลียเร่งกระตุ้นธุรกิจต่อเนื่อง จัดงานจับคู่ธุรกิจสองชาติ ใช้ความยั่งยืนเป็นตัวเชื่อม อยากเห็นความสำเร็จไทยในการก้าวเข้าสู่สังคม NET ZERO
1 ตุลาคม 2568 สำนักงานการค้าและการลงทุนออสเตรเลีย หรือ Austrade จัดงาน “Australian Green Economy Showcase และ Business Matching” พาธุรกิจออสเตรเลียที่ทำงานด้านความยั่งยืนมาที่งาน SX2025 เพื่อมองหาโอกาสในการร่วมมือกับภาคธุรกิจไทย
ดร. แอนเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-ออสเตรเลีย กล่าวว่า “การค้า” เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญ
“เรามีความตกลงการค้าเสรีกับไทย 3 ฉบับ มีความตกลงการค้าเสรีออสเตรเลีย-ไทย และมีความตกลงการค้าทวิภาคี เราปรับปรุงและขยายการค้ากันตลอด 20 ปีที่ผ่านมา การค้าเป็นส่วนสำคัญในความสัมพันธ์ทวิภาคีของเรา” แมคโดนัลด์กล่าว
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่ออสเตรเลียให้ความสำคัญด้านการค้า และเมื่อปี 2566 นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี เปิดแผนยุทธศาสตร์ Australia’s Southeast Asia Economic Strategy to 2040 ซึ่งมีข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างออสเตรเลียกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงข้อเสนอแนะเฉพาะสำหรับแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ในภูมิภาคของออสเตรเลีย รองจากสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
การพัฒนาร่วมกันคือสิ่งที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Austrade ดร. พอล กริมส์ กล่าวว่าคือเป้าหมายหลัก และบทบาทสำคัญของบริษัทคือ การทำให้ “การจับคู่” ระหว่างภาคธุรกิจ 2 ชาติเป็นไปได้ง่ายขึ้น
“Austrade เป็นกุญแจสำคัญในการพาธุรกิจไทยและออสเตรเลียมาเจอกัน งานของเราคือการจับคู่ครั้งสำคัญนี้ เพื่อให้ธุรกิจไทยและออสเตรเลียทำงานร่วมกันและเอาชนะแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ที่เราสองประเทศกำลังเผชิญได้ โดยเฉพาะปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ การเปลี่ยนผ่านสีเขียว เพื่อไปสู่เป้าหมาย NET ZERO” กริมส์กล่าว
ไทยตั้งเป้าสำคัญเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปีพ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2608 ซึ่งหลายภาคส่วนเน้นย้ำว่า ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
ออสเตรเลียเองในฐานะคู่ค้าและพันธมิตรต่างชาติกล่าวว่า ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยไทยพัฒนาบนเส้นทางความยั่งยืน
“หนึ่งในบทบาทหลักของเราคือการช่วยประเทศไทยเปลี่ยนผ่าน เพราะการเปลี่ยนผ่านสู่ NET ZERO คือการเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจที่สะอาดขึ้น เขียวขึ้น เราทุกคนต้องร่วมมือกัน”
งานจับคู่ธุรกิจโดย Austrade จัดขึ้นมาเป็นปีที่ 4 แล้ว ก่อนหน้านี้ มีหัวข้อหลักในการเป็น “กาวเชื่อม” ธุรกิจ 2 ชาติแตกต่างกันไป เช่น การเกษตร หรือการศึกษา ส่วนปีนี้ กริมส์กล่าวว่า มีธุรกิจออสเตรเลียที่บินตรงมาเพื่อนำเสนอแผนธุรกิจกับไทย 14 เจ้า
“ภารกิจครั้งนี้เรามีบริษัท 14 บริษัทมาเข้าร่วม โดยเป้าหมายของเราคือการที่บริษัทเหล่านี้ทุกแห่งจะสามารถประสบความสำเร็จในการเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เราตระหนักว่านี่คือโครงการระยะยาว เราต้องทำงานร่วมกันต่อไป คอยสร้างความสำเร็จให้กันและกัน” กริมส์อธิบาย
หนึ่งในนั้นคือ 4 Seasons Thailand (Charlies Ag) ธุรกิจครอบครัวที่ทำงานด้านปศุสัตว์มาหลายรุ่น ได้เข้ามาสำรวจตลาด และสร้างโรงงานในไทยเมื่อปลายปีก่อน เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับวัว
อาหารเสริมดังกล่าวทำจากแร่ธาตุ อัดเป็นก้อน เมื่อวัวเลียแล้วจะมีคุณสมบัติช่วยพัฒนาศักยภาพในการย่อย การเจริญเติบโต และการสืบพันธุ์ ซึ่งคุณแดเนียล ออสเซน กล่าวว่า เมื่อวัวสุขภาพดีขึ้นก็จะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้
“ทางเหนือและตะวันตกของออสเตรเลีย คุณจะพบว่าอาหารสัตว์หยาบและคุณภาพต่ำมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเสริมอาหารเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสัตว์ของคุณ เราจึงมุ่งเน้นไปที่การผลิตเนื้อที่มากขึ้น น้ำนมที่มากขึ้น และเพิ่มความสามารถในการสืบพันธุ์ หากสามารถยกระดับสุขภาพและประสิทธิภาพการผลิตของสัตว์เลี้ยงได้ ก็จะทำให้สัตว์ปล่อยก๊าซมีเทนลดลง” ออสเซนกล่าว
เขาและทีมยังเสริมว่า พวกเขาได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในไทย พัฒนาลักษณะก้อนแร่สำหรับให้วัวเลียนี้ ให้เหมาะกับลักษณะการทำปศุสัตว์ในไทยมากขึ้น อาทิ ทำให้ขนาดเล็กลง เพราะพื้นที่เลี้ยงวัวในไทยมักจะเล็กกว่าในออสเตรเลีย
ผลิตภัณฑ์วัวเลียมีหลายสูตร ขึ้นกับวัวแต่ละแบบ เช่น โคนม โคเนื้อ โคตั้งครรภ์ และอื่น ๆ 4 Seasons ผ่านขั้นตอนการศึกษา ตั้งโรงงาน และผลิตมาแล้ว ขณะนี้กำลังดำเนินการจดแจ้ง ซึ่งทีมกล่าวว่า จะใช้เวลาอีกราว 2 เดือนก็คาดว่าจะจัดจำหน่ายได้
CEO ย้ำว่า ผลิตภัณฑ์นี้ถูกผลิตในไทย ไม่ได้นำเข้า ทำให้ต่างจากคู่แข่งในลักษณะเดียวกัน สิ่งที่นำเข้าของ 4 Seasons หลัก ๆ คือเทคโนโลยี และคุณออสเซนยังมีเป้าหมายระยะยาว คืออยากให้วัวทุกตัวในไทยใช้ผลิตภัณฑ์ของเขา
อีกหนึ่งผู้ประกอบการที่น่าสนใจคือ Earth Systems ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม บริษัทให้บริการกับลูกค้าที่หลากหลายมามากกว่า 40 ปี ขณะนี้ตั้งมั่นหาโอกาสดำเนินธุรกิจในไทย
และเพราะอุตสาหกรรมที่โดดเด่นของไทยคือภาคการเกษตร CEO Earth Systems คริส สมิธ ยังนำเสนออีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจ
“หนึ่งในสิ่งที่เราทำงานอยู่ในไทยคือ เทคโนโลยีไพโรไลซิส ที่เอาขยะชีวภาพมาเปลี่ยนเป็นถ่านชีวภาพ [ไบโอชาร์] ซึ่งเป็นปุ๋ยเพื่อการฟื้นฟูดินการเกษตร” คริส สมิธ COO Earth Systems กล่าว
ไบโอชาร์คือผลิตภัณฑ์ปรับปรุงคุณภาพดิน ที่ทำจากของเหลือภาคการเกษตร อย่างเช่น ฟางข้าวหรือซังข้าวโพด คุณคริสต์กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัญหาการเผาของเหลือในภาคเกษตรกรรม แต่การนำของเหลือเหล่านั้นมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก จะช่วยลดมลพิษได้มากกว่า
คริสหวังว่า จะสามารถหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจในไทยเพื่อต่อยอดนวัตกรรมความยั่งยืนนี้ได้ในอนาคต