
หลังเกิดเหตุกราดยิงที่สะเทือนขวัญที่สุดในออสเตรเลีย ที่หาดบอนได สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของซิดนีย์ ได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์กว่า 15 ชีวิต ตั้งแต่เด็กหญิงที่มีอายุเพียงแค่ 10 ปี จนถึงเหยื่อสูงวัยที่มีอายุกว่า 87 ปี เพราะนี่คือการเลือกยิงไม่เลือกหน้า อายุ สัญชาติ เพศภาพ หรือ ศาสนา (แม้ว่ามือปืนจะมีการเจาะจงเหยื่อที่เป็นคนยิว)
เรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง นอกจากทิ้งแผลเป็นในใจให้แก่ญาติผู้สูญเสีย ผู้ที่เห็นเหตุการณ์รอบข้าง ทิ้งความจิตตกให้แก่ผู้เสพข่าวอย่างเราแล้ว สิ่งที่เป็นรอยแผลเป็นใหญ่ที่ไม่อาจเลือนหาย นั่นก็คือ “ภาพลักษณ์ของประเทศออสเตรเลีย”
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยสูงเบอร์ต้น ๆ ของโลก ประเทศที่ชูเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติ (Multicultural Country) และเพศ (Same-Sex Marriage) ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ประเทศนี้สามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลจากความไว้ใจของผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานมาเรียนต่อต่างประเทศ หรือแม้แต่เป็นประเทศแห่งความหวังใหม่ของผู้อพยพจากการโอบรับความหลากหลาย
ต้องเข้าใจว่า “ภาพลักษณ์” นั้นมาพร้อม “ความเชื่อมั่น” การที่ประเทศประเทศหนึ่งจะสามารถนำจุดแข็งมาเป็นจุดขายจนสามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้แก่เศรษฐกิจของประเทศได้นั้น เพราะเขามีความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากภาพลักษณ์ที่เขาสร้าง
แต่วันนี้ภาพลักษณ์ของออสเตรเลียอาจไม่เหมือนเดิมจากเหตุกราดยิงครั้งนี้ ภาพลักษณ์ประเทศแห่งความปลอดภัยสูงอาจถูกสั่นคลอน และส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมการศึกษา การท่องเที่ยว รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศที่เป็น Multicultural country
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาถอดบทเรียนเหตุกราดยิง Bondi Beach แผลเป็นที่ฝังใจของออสเตรเลีย โดยจะเป็นการบอกเล่าประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสไปอยู่ออสเตรเลียนานกว่า 7 ปี
ออสเตรเลียโดยทั่วไปเป็นประเทศที่ปลอดภัยมาก มีชื่อเสียงในด้านเสถียรภาพทางการเมือง อัตราอาชญากรรมต่ำ และวิถีชีวิตที่มั่นคง ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง
จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสไปเรียนต่อและได้อยู่ออสเตรเลียนานถึง 7 ปี สามารถพูดได้เลยว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง ผู้เขียนกล้าเดินคนเดียวในถนนตอนเที่ยงคืนโดยที่รู้สึกว่าตนเองปลอดภัย (ค่อนข้างแตกต่างจากประเทศไทย) อีกหนึ่งตัวอย่างที่เจอมาคือ ตอนไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ในห้องน้ำผู้หญิงใน Night Club จะมีการแปะโปสเตอร์ไว้ว่าหากคุณรู้สึกโดนคุกคามทางเพศ หรือ แค่รู้สึกไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งพนักงานได้ตลอดเวลา
หากคุณฟังเฉย ๆ อาจจะคิดว่านี่เป็นการแค่โปรโมตของ Night Club แต่ความจริงแล้วมันคือข้อความที่เชื่อถือได้และถูกปฏิบัติได้จริง มีครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนได้เห็นด้วยตาของตนเอง เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งโดนเชิญออกจาก Night Club เนื่องจากส่อแววคุกคามทางเพศต่อผู้หญิงคนหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะความเข้มแข็งของกฎหมาย มีผู้คุมกฎ (ตำรวจ) ที่ปฏิบัติจริง มีบทลงโทษที่รุนแรง จนทำให้ประชาชนเกรงกลัวที่จะทำผิด
เมื่อความปลอดภัยคือหัวใจหลักที่สามารถกลายมาเป็นจุดขาย ส่งผลให้ออสเตรเลีย เป็นประเทศที่น่าไว้วางใจสำหรับผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานมาเรียนต่อต่างแดน โดยจากรายงานของธนาคารกลางออสเตรเลีย (Reserve Bank) ได้วิเคราะห์ว่า เม็ดเงินจากการศึกษาของนักศึกษาต่างชาติ สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของออสเตรเลีย โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิด-19 เม็ดเงินจากการศึกษาของชาวต่างชาติช่วยพยุง GDP ของออสเตรเลียให้เติบโตได้ ในขณะที่อุตสาหกรรมอื่นกำลังตกอยู่ในภาวะซบเซา เช่น ในปี 2023-2024 อุตสาหกรรมการศึกษาสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศมากถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
ถามว่าทำไมออสเตรเลียถึงสามารถเก็บเงินจากนักเรียนต่างชาติได้มากขนาดนี้ คำตอบก็คือ เพราะนักเรียนต่างชาติจ่ายเงินค่าเล่าเรียนแพงกว่าชาวออสซี่ตั้งแต่ 2-5 เท่า
จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้ศึกษาต่อระดับชั้นปริญญา พบว่าเมื่อเปรียบเทียบค่าเล่าเรียนกับเพื่อนชาวออสซี่ในคณะเดียวกันและวิชาเดียวกัน พบว่าเพื่อนออสซี่จ่ายเพียง 800 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อวิชา (16,626 บาท) ในขณะที่ผู้เขียนต้องจ่ายเงินกว่า 5,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อวิชา (103,918 บาท)
และลองคิดภาพดู ในปี 2025 มีนักเรียนต่างชาติไปเรียนที่ออสเตรเลียแล้วมากกว่า 800,000 คน แค่ปีเดียวรัฐบาลจะสามารถสร้างรายได้มากแค่ไหน?
อีกหนึ่งจุดขายหลักของออสเตรเลีย คือประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Multicultural Country) ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
นั่นทำให้ประชากรชาวออสซี่มีภูมิหลังที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม เช่นเดียวกันกับเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญและคุณค่าต่อชาวพื้นเมือง หรือ Aboriginal People มาก ๆ ในทุกมิติของการใช้ชีวิต จากประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียน ได้เห็นสิทธิพิเศษของเพื่อนชาว Aboriginal People มากมาย ตั้งแต่ค่าเล่าเรียนที่รัฐบาลจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ โควต้าในการทำงานในทุกบริษัทออสซี่ ไปจนถึงการดูแลเพิ่มเติมอื่น ๆ จากรัฐบาลที่มากกว่าชาวออสซี่โดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม คำว่าโอบรับความหลากหลายในที่นี่ หมายถึงเรื่องการเปิดรับผู้อพยพที่อยากย้ายเข้ามาพำนักอยู่ที่ออสเตรเลียอีกด้วย ผู้เขียนมีเพื่อนต่างชาติหลายคนที่มีความต้องการอยากเป็นพลเมืองออสเตรเลีย เนื่องจากมองว่าคุณภาพชีวิตของการอยู่ที่ออสเตรเลียดีกว่าประเทศของตน ซึ่งทางรัฐบาลเองก็เปิดโอกาสมีโควต้าให้แก่แรงงานที่มีทักษะมาสมัคร
นอกจากนี้ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้แก่คู่รักเพศเดียวกันได้แต่งงานและใช้ชีวิตคู่อย่างถูกกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2017 ด้วยกฎหมาย Same-sex Marriage เช่นเดียวกันกับการเฉลิมฉลองให้คอมมูนิตี้ LGBTQIA+ ด้วยเทศกาล Sydney Mardi Gras ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวสีรุ้งกว่า 300,000 คนต่อปี
ส่วนปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ สัญชาติ ต้องบอกตามตรงว่าจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เคยอาศัยอยู่ที่เมืองแคนเบอร์ร่า และซิดนีย์ ผู้เขียนไม่เคยมีประสบการณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่คนเอเชียนถูกมองว่าเป็นบุคคลที่เป็นตัวแพร่ของเชื้อโรค ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสนี้สอดคล้องกับที่ทางรัฐบาลพยายามผลักดันให้ออสเตรเลียเป็นประเทศแห่งเสรี No Place for Racism, Discrimination in Our Country (ไม่มีที่ว่างสำหรับการเหยียดผิวและการเลือกปฏิบัติในประเทศของเรา)
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ออสเตรเลียเป็นประเทศแห่งความสุขของคนที่แตกต่างกันสามารถอยู่ได้อย่างเสรีและมีความสุข แต่หลังเหตุการณ์กราดยิงที่หาดบอนได ที่มือปืนเลือกที่จะกราดยิงในช่วงเทศกาลแสงไฟประจำปีของชาวยิว Chanukah แม้จะไม่ได้พุ่งเป้าแต่ชาวยิว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเทศกาลชาวยิวจะมาร่วมกลุ่มกันเยอะที่สุด
ทำให้เกิดคำถามเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศที่ปลอดภัยเบอร์ต้น ๆ ของโลก กับภาพความเป็น Multicultural country ของออสเตรเลีย อย่างไม่อาจเลี่ยงได้
และในความคิดเห็นของผู้เขียน กล้าพูดเลยว่านี่คือการกระทำที่อุกอาจที่สุด เพราะสถานที่เกิดเหตุคือ ‘หาดบอนได’ หาดนี้คือแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของซิดนีย์ เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวและเป็นสถานที่พักผ่อนของชาวออสซี่
เนื่องจากหาดนี้เป็นหาดที่สวยงาม ใกล้เมืองมากที่สุด สามารถนั่งรถไฟไปถึงโดยใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาทีจากเมือง คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะไปที่ไหน กว่า 80% ของคนซิดนีย์จะตอบว่าไป Hangout ที่หาดบอนได
โดยจากข้อมูลการท่องเที่ยวของออสเตรเลีย พบว่าปี 2019 มีนักท่องเที่ยวไปหาดบอนไดมากกว่า 2.8 ล้านคน ปี 2023 มีนักท่องเที่ยวไปหาดบอนไดมากกว่า 2.5 ล้านคน ปี 2024 มีนักท่องเที่ยวไปหาดบอนไดมากกว่า 2.64 ล้านคน
หรือยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ หาดบอนไดเหมือนห้างสรรพสินค้า Icon Siam หรือ Siam Paragon ที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องไปเยือนเมื่อมาไทย และถ้ายังจำกันได้ตอนเหตุกราดยิงที่ Siam Paragon ตอนนั้นภาพลักษณ์ของประเทศไทยก็ได้ถูกตั้งคำถามขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีน แม้มีผู้เสียชีวิตไม่มากหรือไม่ใช่เรื่องปกติที่เราเจอในชีวิตประจำวัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงนั้นจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหดจริง ทำให้รัฐบาลในช่วงนั้นต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อเร่งความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามายังประเทศไทย
ส่วนออสเตรเลีย เหตุการณ์ที่บอนไดตอนนี้อาจไม่ได้ส่งผลกระทบแบบฉับพลัน แต่เชื่อว่านี่จะเป็นแผลเป็นที่ฝังใจของชาวออสเตรเลียไปอีกนาน และเป็นบทเรียนราคาแพงของรัฐบาลออสเตรเลียในการแก้สถานการณ์และสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะกฎหมายถือครองปืนในประเทศ
อ้างอิง : The New York Times, Meyka, Road Genius, BHTP, Australian Government, ST Magazine , The Mckell Institute