1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาเป็นวันแรกที่เหล่าบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ทยอยเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงเป็นวันแรก เพื่อจะมอบนโยบายที่สำคัญหลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว
หนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกจับตามองมากที่สุดในรัฐบาลนายอนุทินคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุณศุภจี สุธรรมพันธ์ุ ซึ่งในวันนี้ (2 ต.ค. 68) ได้มอบ 7 นโยบาย Quick-Big Win ให้กับผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ทั้งในประเทศไทยและทูตพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ
คุณศุภจี เน้นย้ำว่าแม้จะมีระยะเวลาทำงานจำกัดเพียง 4 เดือนแต่นโยบายที่ทำต้อง ‘ทำสั้น ให้ได้ยาว และกระจายตัว’ โดยเฉพาะไปถึงประชาชน SME และเกษตรกร
7 นโยบายสำคัญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่
1. รับมือภาษีสหรัฐฯ
รัฐบาลเร่งเดินหน้าสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 โดยจะปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และระบบออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ
คุณศุภจีกล่าวว่า หลังการเจรจาภาษีทรัมป์สิ้นสุดที่อัตรา 19% ยังมีรายละเอียดที่กระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินการต่อ โดยเฉพาะการเร่งสรุป ART ภายในกรอบเวลาที่กำหนด พร้อมสร้างความชัดเจนให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งต่อไปหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) จะออกในระบบดิจิทัลทั้งหมด และกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจออกเพียงรายเดียว
มาตรการเพิ่มเติมจะเน้นป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์และเพิ่มความโปร่งใส โดยข้อมูลชี้ว่าการปลอมแปลงเอกสาร C/O ลดลงอย่างชัดเจน จากหลักร้อยกรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี 2567 และไม่พบการปลอมแปลงเลยในปี 2568
นโยบายอีกด้านคือการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ด้วยการปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ให้เร็วขึ้น จากเดิมที่ใช้เวลา 12-18 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน โดยอาศัยเทคโนโลยี AI ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็น Quick Win ที่ส่งผลบวกโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย
2. การค้าชายแดนไทย- กัมพูชา
หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาจนต้องปิดด่านการค้าถึงปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์พบว่ามีผู้ได้รับผลกระทบหลากหลายกลุ่ม จึงจำเป็นต้องจัดการแก้ไขอย่างแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละกลุ่ม
สำหรับประชาชนทั่วไป กระทรวงพาณิชย์จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพเฉพาะหน้า ผ่านโครงการธงฟ้าและให้พาณิชย์จังหวัดลงพื้นที่ช่วยเหลือ รวมถึงออกมาตรการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
ในส่วนเกษตรกรและผู้ประกอบการที่มีสินค้าแต่ไม่สามารถส่งไปขายในกัมพูชาได้ กระทรวงพาณิชย์จะจัดมหกรรมค้าขายชายแดน พร้อมสนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาทต่อชิ้น เพื่อช่วยระบายสินค้า
ขณะที่ผู้ส่งออก กระทรวงพาณิชย์จะเร่งหาตลาดใหม่หรือจัดหาช่องทางผ่านแดนอื่น รวมถึงให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อให้การค้าขายสามารถดำเนินต่อได้อย่างต่อเนื่อง
3. FTA และบุกตลาดใหม่
ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ และอยู่ระหว่างการเร่งผลักดันให้มีผลบังคับใช้อีก 3 ฉบับ ได้แก่ FTA ไทย–ศรีลังกา, FTA ไทย–ภูฎาน และ FTA ไทย–EFTA โดยความตกลงกับ EFTA คาดว่าจะเริ่มใช้ประโยชน์ได้ราวกลางปี 2569 และจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยได้ถึง 38% ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ยังตั้งเป้าเร่งเปิดตลาดส่งออกให้ได้มากขึ้นภายใต้ FTA ที่มีอยู่แล้วในปี 2568 โดยเฉพาะ FTA ไทย–อียู และ FTA ไทย–เกาหลีใต้
สำหรับประเทศที่ไทยยังไม่มีความตกลง FTA กระทรวงพาณิชย์จะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลกในการหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยมุ่งเน้นการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย รวมถึงจัดกิจกรรมเจรจาการค้าในรูปแบบใหม่เพื่อขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย
4. การดูแลค่าครองชีพประชาชน
กระทรวงพาณิชย์มีมาตราการที่ทำอยู่แล้ว และมาตรการที่จะทำเพิ่มเติมเพื่อลดค่าครองชีพโดยตรง 5,000 ล้านบาท ได้แก่ การจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี รวมถึงมหกรรมลดราคาสินค้าตลอดปี
มาตรการลดค่าครองชีพที่จะทำเพิ่มเติม ได้แก่ การเปิดทางเลือกให้ผู้ป่วยสามารถทราบราคายาของโรงพยาบาลเอกชนก่อนชำระเงิน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบและเลือกซื้อยาจากภายนอกโรงพยาบาลที่มีราคาถูกกว่าได้ ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับโรงพยาบาลเอกชนแล้วกว่า 100 แห่ง ครอบคลุม 5 เครือใหญ่ เช่น เครือเกษมราษฎร์ และจะมีการหารือเพิ่มเติมอีกครั้งในวันที่ 7 ตุลาคม โดยข้อมูลระบุว่า ไทยมีโรงพยาบาลเอกชนรวม 360 แห่ง กระจายอยู่ใน 11 เครือ
แนวทางนี้ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลรัฐ เนื่องจากประชาชนมีทางเลือกใช้บริการเอกชนได้ โดยหากค่ายามีราคาแพงก็สามารถเลือกซื้อจากร้านขายยาภายนอกที่จดทะเบียนถูกต้องได้ ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้ถึง 32,400 ล้านบาทต่อปี โดยไม่ต้องใช้งบประมาณรัฐ แต่เกิดจากการร่วมมือของภาคเอกชน
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนควบคุมราคาสินค้าเวชภัณฑ์จำเป็น เช่น ถุงมือยางและชุดตรวจ ATK ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพได้อีกประมาณ 1,100 ล้านบาท
5. รักษาสเถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
คุณศุภจีกล่าวว่า หลักการจัดการสินค้าเกษตร คือการประเมินอุปสงค์และอุปทานล่วงหน้า บริหารจัดการอุปทานให้สมดุลกับตลาด เพิ่มอุปสงค์ตามสถานการณ์ ผลักดันการส่งออก ควบคู่กับการรักษาฐานตลาดเดิมและขยายไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ รวมถึงการกำหนดมาตรการนำเข้าและมาตรการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เพื่อดูแลทั้งพืชไร่ ผลไม้เขตร้อน และพืชมูลค่าสูงบนพื้นที่เพาะปลูก
มาตรการรายพืชมีความแตกต่างกัน เช่น ข้าว จะเร่งการส่งออก ควบคู่กับชะลอการขายในประเทศและยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะควบคุมการนำเข้าเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 พร้อมกำหนดราคารับซื้อในประเทศ มันสำปะหลัง จะผลักดันการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การผลิตเครื่องดื่มมันบุกแปลง และสนับสนุนการทำเกษตรพันธสัญญาในต่างประเทศกับตลาดผู้บริโภค ปาล์มน้ำมัน จะมีการกำหนดราคารับซื้อที่เหมาะสม ขณะที่ผลไม้และพืชหัว เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ และหอมแดง จะใช้การเชื่อมโยงซื้อขายผลผลิตล่วงหน้า บริหารจัดการผลผลิตสุทธิ และจัดกิจกรรมกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
สำหรับสถานการณ์ข้าว ปัจจุบันโลกมีสต๊อกข้าว 187.3 ล้านตันข้าวสาร โดยอินเดียถือครองอยู่ราว 20 ล้านตัน เวียดนามกำลังเร่งการส่งออก ส่วนอินเดียมีมาตรการจำกัดการนำเข้า ขณะที่ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ ซึ่งไทยต้องใช้จังหวะนี้รักษาความสามารถในการแข่งขันและเสริมความแข็งแกร่งของตลาดส่งออกข้าวต่อไป
ด้านสถานการณ์ข้าวไทยในปัจจุบันมีปริมาณรวม 25.3 ล้านตันข้าวสาร มาจากผลผลิตใหม่ 21.8 ล้านตัน และสต๊อกคงเหลือ 3.5 ล้านตัน โดยการจัดสรรแบ่งออกดังนี้
การรักษาเสถียรภาพราคาข้าวต้องดำเนินควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ได้แก่ การปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชมูลค่าสูงตามความต้องการของตลาดโลก การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และการผลิตพันธุ์ข้าวที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาดส่งออก
แผนรองรับในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ประกอบด้วยมาตรการสำคัญ เช่น
แนวทางเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ควบคู่กับการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับโครงสร้างการผลิตข้าวไทยในระยะยาว
6. เพิ่มรายได้ SME
SME ไทยได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งจากการที่ต้องหาตลาดใหม่มาทดแทนตลาดสหรัฐ และจากแรงกดดันของสินค้าที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้จนทะลักเข้าสู่ตลาดอื่น กระทรวงพาณิชย์ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว และได้วางแนวทางดำเนินการใน 6 มิติสำคัญ
แนวทางทั้ง 6 มิตินี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ SME ไทยสามารถปรับตัว แข่งขัน และสร้างความแข็งแกร่งในสภาวะการค้าระหว่างประเทศที่ท้าทายมากขึ้น
7. ปลดล็อคศักยภาพของประเทศปรับกฎระเบียบใช้เทคโนโลยี
การปลดล็อกศักยภาพของประเทศผ่านการปรับกฎระเบียบและการใช้เทคโนโลยี หมายถึงการแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง และระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของผู้ประกอบการและภาคเอกชน ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการ เชื่อมโยงและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัล
การใช้ AI ถูกนำมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพ ทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว ตลอดจนการลดระยะเวลาการไต่สวนคดีการทุ่มตลาด (AD) และการอุดหนุน (CVD) จากเดิม 12 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน อีกทั้งยังมีมาตรการกำกับดูแลตลาดอีคอมเมิร์ซ และการปราบปรามธุรกิจนอมินีอย่างเข้มงวดเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน
ทั้งหมดนี้ถือเป็น 1 ใน 7 นโยบาย Big Quick Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซึ่งถูกยกระดับให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพี ภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การนำของรัฐมนตรีคนใหม่นี้จึงมีความสำคัญและท้าทายอย่างยิ่ง...