Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
'ศุภจี' ลุย 7 Quick Big Win ลดค่าครองชีพ เพิ่มรายได้ ขยายตลาดส่งออก
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

'ศุภจี' ลุย 7 Quick Big Win ลดค่าครองชีพ เพิ่มรายได้ ขยายตลาดส่งออก

2 ต.ค. 68
11:56 น.
แชร์

1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาเป็นวันแรกที่เหล่าบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ทยอยเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงเป็นวันแรก เพื่อจะมอบนโยบายที่สำคัญหลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว 

หนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกจับตามองมากที่สุดในรัฐบาลนายอนุทินคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุณศุภจี สุธรรมพันธ์ุ ซึ่งในวันนี้ (2 ต.ค. 68) ได้มอบ 7 นโยบาย Quick-Big Win ให้กับผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ทั้งในประเทศไทยและทูตพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ 

คุณศุภจี เน้นย้ำว่าแม้จะมีระยะเวลาทำงานจำกัดเพียง 4 เดือนแต่นโยบายที่ทำต้อง ‘ทำสั้น ให้ได้ยาว และกระจายตัว’ โดยเฉพาะไปถึงประชาชน SME และเกษตรกร  

7 นโยบายสำคัญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ 

  1. รับมือภาษีทรัมป์
  2. การค้าชายแดนไทยกัมพูชา
  3.  FTA และบุกตลาดใหม่
  4. การดูแลค่าครองชีพประชาชน
  5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
  6. เพิ่มรายได้ SME
  7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี

1. รับมือภาษีสหรัฐฯ

รัฐบาลเร่งเดินหน้าสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 โดยจะปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และระบบออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ

คุณศุภจีกล่าวว่า หลังการเจรจาภาษีทรัมป์สิ้นสุดที่อัตรา 19% ยังมีรายละเอียดที่กระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินการต่อ โดยเฉพาะการเร่งสรุป ART ภายในกรอบเวลาที่กำหนด พร้อมสร้างความชัดเจนให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งต่อไปหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) จะออกในระบบดิจิทัลทั้งหมด และกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจออกเพียงรายเดียว

มาตรการเพิ่มเติมจะเน้นป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์และเพิ่มความโปร่งใส โดยข้อมูลชี้ว่าการปลอมแปลงเอกสาร C/O ลดลงอย่างชัดเจน จากหลักร้อยกรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี 2567 และไม่พบการปลอมแปลงเลยในปี 2568

นโยบายอีกด้านคือการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ด้วยการปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ให้เร็วขึ้น จากเดิมที่ใช้เวลา 12-18 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน โดยอาศัยเทคโนโลยี AI ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็น Quick Win ที่ส่งผลบวกโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย

2. การค้าชายแดนไทย- กัมพูชา 

หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาจนต้องปิดด่านการค้าถึงปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์พบว่ามีผู้ได้รับผลกระทบหลากหลายกลุ่ม จึงจำเป็นต้องจัดการแก้ไขอย่างแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละกลุ่ม

สำหรับประชาชนทั่วไป กระทรวงพาณิชย์จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพเฉพาะหน้า ผ่านโครงการธงฟ้าและให้พาณิชย์จังหวัดลงพื้นที่ช่วยเหลือ รวมถึงออกมาตรการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

ในส่วนเกษตรกรและผู้ประกอบการที่มีสินค้าแต่ไม่สามารถส่งไปขายในกัมพูชาได้ กระทรวงพาณิชย์จะจัดมหกรรมค้าขายชายแดน พร้อมสนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาทต่อชิ้น เพื่อช่วยระบายสินค้า

ขณะที่ผู้ส่งออก กระทรวงพาณิชย์จะเร่งหาตลาดใหม่หรือจัดหาช่องทางผ่านแดนอื่น รวมถึงให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อให้การค้าขายสามารถดำเนินต่อได้อย่างต่อเนื่อง

3. FTA และบุกตลาดใหม่

ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ และอยู่ระหว่างการเร่งผลักดันให้มีผลบังคับใช้อีก 3 ฉบับ ได้แก่ FTA ไทย–ศรีลังกา, FTA ไทย–ภูฎาน และ FTA ไทย–EFTA โดยความตกลงกับ EFTA คาดว่าจะเริ่มใช้ประโยชน์ได้ราวกลางปี 2569 และจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยได้ถึง 38% ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ยังตั้งเป้าเร่งเปิดตลาดส่งออกให้ได้มากขึ้นภายใต้ FTA ที่มีอยู่แล้วในปี 2568 โดยเฉพาะ FTA ไทย–อียู และ FTA ไทย–เกาหลีใต้

สำหรับประเทศที่ไทยยังไม่มีความตกลง FTA กระทรวงพาณิชย์จะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลกในการหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยมุ่งเน้นการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย รวมถึงจัดกิจกรรมเจรจาการค้าในรูปแบบใหม่เพื่อขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย

4. การดูแลค่าครองชีพประชาชน

กระทรวงพาณิชย์มีมาตราการที่ทำอยู่แล้ว และมาตรการที่จะทำเพิ่มเติมเพื่อลดค่าครองชีพโดยตรง 5,000 ล้านบาท ได้แก่ การจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี รวมถึงมหกรรมลดราคาสินค้าตลอดปี

มาตรการลดค่าครองชีพที่จะทำเพิ่มเติม ได้แก่ การเปิดทางเลือกให้ผู้ป่วยสามารถทราบราคายาของโรงพยาบาลเอกชนก่อนชำระเงิน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบและเลือกซื้อยาจากภายนอกโรงพยาบาลที่มีราคาถูกกว่าได้ ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับโรงพยาบาลเอกชนแล้วกว่า 100 แห่ง ครอบคลุม 5 เครือใหญ่ เช่น เครือเกษมราษฎร์ และจะมีการหารือเพิ่มเติมอีกครั้งในวันที่ 7 ตุลาคม โดยข้อมูลระบุว่า ไทยมีโรงพยาบาลเอกชนรวม 360 แห่ง กระจายอยู่ใน 11 เครือ

แนวทางนี้ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลรัฐ เนื่องจากประชาชนมีทางเลือกใช้บริการเอกชนได้ โดยหากค่ายามีราคาแพงก็สามารถเลือกซื้อจากร้านขายยาภายนอกที่จดทะเบียนถูกต้องได้ ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้ถึง 32,400 ล้านบาทต่อปี โดยไม่ต้องใช้งบประมาณรัฐ แต่เกิดจากการร่วมมือของภาคเอกชน

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนควบคุมราคาสินค้าเวชภัณฑ์จำเป็น เช่น ถุงมือยางและชุดตรวจ ATK ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพได้อีกประมาณ 1,100 ล้านบาท

5. รักษาสเถียรภาพราคาสินค้าเกษตร 

คุณศุภจีกล่าวว่า หลักการจัดการสินค้าเกษตร คือการประเมินอุปสงค์และอุปทานล่วงหน้า บริหารจัดการอุปทานให้สมดุลกับตลาด เพิ่มอุปสงค์ตามสถานการณ์ ผลักดันการส่งออก ควบคู่กับการรักษาฐานตลาดเดิมและขยายไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ รวมถึงการกำหนดมาตรการนำเข้าและมาตรการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เพื่อดูแลทั้งพืชไร่ ผลไม้เขตร้อน และพืชมูลค่าสูงบนพื้นที่เพาะปลูก

มาตรการรายพืชมีความแตกต่างกัน เช่น ข้าว จะเร่งการส่งออก ควบคู่กับชะลอการขายในประเทศและยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะควบคุมการนำเข้าเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 พร้อมกำหนดราคารับซื้อในประเทศ มันสำปะหลัง จะผลักดันการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การผลิตเครื่องดื่มมันบุกแปลง และสนับสนุนการทำเกษตรพันธสัญญาในต่างประเทศกับตลาดผู้บริโภค ปาล์มน้ำมัน จะมีการกำหนดราคารับซื้อที่เหมาะสม ขณะที่ผลไม้และพืชหัว เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ และหอมแดง จะใช้การเชื่อมโยงซื้อขายผลผลิตล่วงหน้า บริหารจัดการผลผลิตสุทธิ และจัดกิจกรรมกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

สำหรับสถานการณ์ข้าว ปัจจุบันโลกมีสต๊อกข้าว 187.3 ล้านตันข้าวสาร โดยอินเดียถือครองอยู่ราว 20 ล้านตัน เวียดนามกำลังเร่งการส่งออก ส่วนอินเดียมีมาตรการจำกัดการนำเข้า ขณะที่ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ ซึ่งไทยต้องใช้จังหวะนี้รักษาความสามารถในการแข่งขันและเสริมความแข็งแกร่งของตลาดส่งออกข้าวต่อไป

ด้านสถานการณ์ข้าวไทยในปัจจุบันมีปริมาณรวม 25.3 ล้านตันข้าวสาร มาจากผลผลิตใหม่ 21.8 ล้านตัน และสต๊อกคงเหลือ 3.5 ล้านตัน โดยการจัดสรรแบ่งออกดังนี้

  • ข้าวหอมมะลิ ใช้บริโภคในประเทศและส่งออก รวม 6.8 ล้านตัน
  • ข้าวชนิดอื่น ใช้บริโภคในประเทศ 7.4 ล้านตัน และส่งออก 5.9 ล้านตัน
  • สำรองเพื่อความมั่นคงทางอาหาร 2.5 ล้านตัน
  • สำหรับทำเมล็ดพันธุ์ 0.9 ล้านตัน
  • เหลือปริมาณคงเหลือ 1.8 ล้านตันข้าวสาร

การรักษาเสถียรภาพราคาข้าวต้องดำเนินควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ได้แก่ การปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชมูลค่าสูงตามความต้องการของตลาดโลก การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และการผลิตพันธุ์ข้าวที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาดส่งออก

แผนรองรับในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ประกอบด้วยมาตรการสำคัญ เช่น

  • ลดต้นทุนการผลิต ผ่านโครงการธงเขียว มุ่งเน้นการลดต้นทุนอย่างยั่งยืน
  • ชะลอการขายในประเทศ โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อชะลอการขายแก่สถาบันเกษตรกร และเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ
  • เร่งการส่งออก ทั้งผ่านการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) อย่างน้อย 280,000–500,000 ตัน และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและมหกรรมการค้าระดับโลก เช่น CAEXPO, CIIE, FOODEX และ ANUGA รวมถึงการจัดผู้แทนการค้าเพื่อเร่งลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับคู่ค้าอย่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์

แนวทางเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ควบคู่กับการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับโครงสร้างการผลิตข้าวไทยในระยะยาว

6. เพิ่มรายได้ SME 

SME ไทยได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งจากการที่ต้องหาตลาดใหม่มาทดแทนตลาดสหรัฐ และจากแรงกดดันของสินค้าที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้จนทะลักเข้าสู่ตลาดอื่น กระทรวงพาณิชย์ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว และได้วางแนวทางดำเนินการใน 6 มิติสำคัญ

  • ขยายตลาดใหม่ มุ่งเจาะตลาดเอเชียใต้โดยเฉพาะอินเดีย ตลอดจนขยายไปยังตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างฐานตลาดใหม่ให้ SME ไทย
  • พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ สนับสนุนให้ SME ไทยใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น การทำคอนเทนต์ออนไลน์และการวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าและสร้างยอดขาย
  • เพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า เปิดเวทีเจรจา จับคู่ธุรกิจ และกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงตลาดใหม่และเครือข่ายการค้าได้มากขึ้น
  • เพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ โดยผลักดันสินค้าที่มีคุณค่าเชิงวัฒนธรรมและภูมิปัญญา เช่น สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ซึ่งในปี 2568 สามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 82,000 ล้านบาท
  • โปรโมตแบรนด์ไทยสู่สากล ผ่านโครงการ “Thai Select” ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์อาหารไทย โดยมูลค่าตลาดในประเทศอยู่ที่ 462 ล้านบาท และในต่างประเทศ 915 ล้านบาท
  • เสริมสร้างเอกลักษณ์สินค้าไทย ด้วยโครงการ “Thailand Mark” ที่ครอบคลุมสินค้าและบริการ 2,263 แบรนด์ เพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มความเชื่อมั่น และขยายการรับรู้ในตลาดโลก

แนวทางทั้ง 6 มิตินี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ SME ไทยสามารถปรับตัว แข่งขัน และสร้างความแข็งแกร่งในสภาวะการค้าระหว่างประเทศที่ท้าทายมากขึ้น

7. ปลดล็อคศักยภาพของประเทศปรับกฎระเบียบใช้เทคโนโลยี

การปลดล็อกศักยภาพของประเทศผ่านการปรับกฎระเบียบและการใช้เทคโนโลยี หมายถึงการแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง และระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของผู้ประกอบการและภาคเอกชน ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการ เชื่อมโยงและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัล

การใช้ AI ถูกนำมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพ ทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว ตลอดจนการลดระยะเวลาการไต่สวนคดีการทุ่มตลาด (AD) และการอุดหนุน (CVD) จากเดิม 12 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน อีกทั้งยังมีมาตรการกำกับดูแลตลาดอีคอมเมิร์ซ และการปราบปรามธุรกิจนอมินีอย่างเข้มงวดเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน

ทั้งหมดนี้ถือเป็น 1 ใน 7 นโยบาย Big Quick Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซึ่งถูกยกระดับให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพี ภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การนำของรัฐมนตรีคนใหม่นี้จึงมีความสำคัญและท้าทายอย่างยิ่ง...


แชร์
'ศุภจี' ลุย 7 Quick Big Win ลดค่าครองชีพ เพิ่มรายได้ ขยายตลาดส่งออก