13 สิงหาคม 2568 สำนักข่าว BBC รายงานว่า สหรัฐฯ และรัสเซียตกลงจัดการประชุมระหว่างผู้นำคือ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูตินวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมนี้ เกี่ยวกับการยุติสงครามในยูเครน
การประชุมครั้งนี้ ทรัมป์ได้ประกาศการประชุมล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 พร้อมกันกับการกำหนดเส้นตายให้รัสเซียยอมรับหยุดยิงในยูเครน มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา มีการประชุมระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียรวม 3 ครั้ง แต่ยังไม่ทำให้สองชาติบรรลุเป้าหมายสันติภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังมีความหวังและประกาศสถานที่นัดพบระหว่างสองประธานาธิบดีออกมา คือที่รัฐอะแลสกาของสหรัฐฯ ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ใต้การครอบครองของรัสเซ๊ย
สองประธานาธิบดีจะพบกันที่อะแลสกา ซึ่งเป็นรัฐที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ผูกพันธ์ระหว่างสองชาติ เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ซื้ออะแลสกาจากรัสเซียในปี 1867 และอะแลสกากลายเป็นรัฐของสหรัฐฯ ในปี 1959
เมื่อประกาศวาระการประชุมเมื่อสัปดาห์ก่อน ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยว่า การประชุมจะจัดขึ้นที่เมืองไหนในอะแลสกา เพียงแต่บอกว่าจะเป็น “สถานที่ยอดนิยมด้วยเหตุผลหลายประการ” อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวยืนยันเมื่อวันอังคารที่ 12 สิงหาคมว่า การประชุมจะจัดขึ้นที่เมืองแองเคอเรจ
ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซีย ยูริ อูชาคอฟ ชี้ให้เห็นว่า ทั้งสองประเทศเป็นเพื่อนบ้านกัน โดยมีช่องแคบเบอริงคั่นกลาง
“ดูค่อนข้างจะสมเหตุสมผลที่คณะของเราจะบินข้ามช่องแคบเบอริง และเหมาะสมที่การประชุมสำคัญที่กำลังจะมาถึงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศจัดขึ้นที่อะแลสกา” อูชาคอฟกล่าว
ก่อนหน้านี้ อะแลสกาเคยเป็นสถานที่จัดการประชุมสำคัญมาก่อนเช่นกันครั้งล่าสุดคือ เมือเดือนมีนาคม 2021 เมื่อทีมงานการทูตและความมั่นคงแห่งชาติชุดใหม่ของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน พบปะกับฝ่ายจีนที่เมืองแองเคอเรจ แต่การพบปะครั้งนั้นตึงเครียด จีนกล่าวหาว่าสหรัฐฯ “ดูถูกและมีท่าทีอคติ”
นอกจากนี้ เพราะศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับปูตินในข้อหาสงคราม การหาสถานที่สำหรับการประชุมให้ประธานาธิบดีปูตินเป็นเรื่องยาก รัสเซียไม่ยอมรับสถานที่ในยุโรป แม้แต่ในเมืองอย่างเวียนนาหรือเจนีวา ซึ่งผู้นำสหรัฐและรัสเซียเคยพบกันตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงหาเสียงนั้น ทรัมป์ได้ยกการยุติสงครามรัสเซียยูเครนเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง ทั้งยังกล่าวว่า สามารถยุติสงครามนี้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม แม้ดำรงตำแหน่งมาร่วม 7 เดือน ทรัมป์ยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เขาตั้งใจ
ทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อประธานาธิบดีรัสเซียเพิ่มขึ้น เมื่อเดือนก่อน ทรัมป์ถึงกลับกล่าวว่าเขาผิดหวังกับปูตินมาก กับ BBC ด้วยความไม่พอใจเพิ่มขึ้น ทรัมป์ได้กำหนดเส้นตายวันที่ 8 สิงหาคมให้ปูตินยอมรับหยุดยิงทันที มิฉะนั้นจะถูกคว่ำบาตรสหรัฐฯ รุนแรงขึ้น
แต่เมื่อถึงเส้นตาย ทรัมป์กลับประกาศว่าเขาจะพบปูตินตัวต่อตัวในวันที่ 15 สิงหาคม โดยกล่าวว่า เกิดจากทูตพิเศษของสหรัฐฯ สตีฟ วิตคอฟฟ์ได้เจรจาอย่าง “ได้ผลดีมาก” กับปูตินที่มอสโกในวันพุธที่ 6 สิงหาคม
อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวพยายามลดข่าวลือที่ว่าการประชุมทวิภาคีนี้อาจนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง คาโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า การพบกันเป็นเพียงการฟังความคิดเห็นเท่านั้น
“นี่เป็นการฟังความคิดเห็นของประธานาธิบดี” เธอกล่าว และเสริมว่าทรัมป์อาจเดินทางไปรัสเซียหลังจากทริปอะแลสกา
ด้านทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เขามองการพบกันครั้งนี้เป็น “การประชุมรับฟัง” แต่ก็ตั้งใจกระตุ้นปูตินให้ยุติสงคราม
แต่กระนั้น สาเหตุเจาะจงที่นำไปสู่การประชุมครั้งนี้ยังคงไม่ถูกเปิดเผย ทูตต่างประเทศของทรัมป์ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ได้เดินทางไปมอสโกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อพบกับปูตินซึ่งเป็นผลให้มีการตัดสินใจจัดประชุม แต่เนื้อหาที่ประธานาธิบดีรัสเซียพูดในการประชุมนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
หากสำรวจความคิดเห็นเบื้องต้นทั้ง 3 ฝ่ายต่อการประชุม เราจะพบว่า รัสเซียไม่เต็มใจร่วมประชุมกับยูเครนเท่าไหร่ ปูตินเคยขอให้ไม่เชิญเซเลนสกีเข้าร่วมการประชุมด้วย เซเลนสกีกล่าวว่าข้อตกลงใด ๆ ที่ไม่มีส่วนร่วมของยูเครนก็เหมือน “คำตัดสินที่ไร้ชีวิต” ส่วนสหรัฐฯ นั้น ทรัมป์เคยกล่าวว่า เต็มใจจะจัดประชุมสามฝ่ายที่มีผู้นำทั้งสามคน
อย่างไรก็ตาม สำหรับการประชุมศุกร์นี้ทรัมป์กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ไม่ได้คาดว่าประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกีจะเข้าร่วม
“ผมคิดว่าเขาอาจไปได้ แต่เขาไปประชุมหลายครั้งแล้ว” ทรัมป์กล่าว และเสริมว่า เซเลนสกีจะเป็นคนแรกที่เขาจะโทรคุยหลังการประชุม
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์และเซเลนสกีจะพบกันทางออนไลน์วันนี้ (13 สิงหาคม 2568) ก่อนการประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์กับปูติน โดยจะมีผู้นำยุโรปหลายคนเข้าร่วมด้วย
แม้ว่ารัสเซียและยูเครนต่างพูดกันมานานว่าต้องการยุติสงคราม แต่ทั้งสองฝ่ายมีความต้องการต่างกัน และเป็นความต้องการที่ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจยอมรับได้
ยูเครนยืนยันว่าจะไม่ยอมรับการควบคุมดินแดนโดยรัสเซีย รวมถึงไครเมีย และเซเลนสกียังต่อต้านแนวคิดการ “แลกเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงดินแดนบางส่วน” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทรัมป์กล่าวว่าอาจต้องเกิดขึ้น แม้สัญญาว่า เขาจะ “พยายามคืนบางส่วนของดินแดนที่รัสเซียยึดครองให้ยูเครน”
ในขณะเดียวกัน ปูตินก็ไม่ยอมถอยจากข้อเรียกร้องเรื่องดินแดน ความเป็นกลางของยูเครน และขนาดกองทัพในอนาคต รัสเซียเริ่มการรุกรานเต็มรูปแบบต่อยูเครน ส่วนหนึ่งเนื่องจากความเชื่อของปูตินว่าสมาคมป้องกันตนเองของตะวันตก NATO กำลังใช้ยูเครนเป็นฐานทัพเพื่อนำกองกำลังเข้าใกล้พรมแดนรัสเซีย
ข้อมูลจาก CBS News ชี้ว่า รัฐบาลทรัมป์พยายามชักชวนผู้นำยุโรปให้ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง รวมถึงการยกดินแดนส่วนหนึ่งของยูเครนให้รัสเซีย ข้อตกลงนี้จะอนุญาตให้รัสเซียควบคุมคาบสมุทรไครเมีย และรับครองภูมิภาคดอนบาสทางตะวันออกของยูเครน ซึ่งประกอบด้วย เมืองโดเนตสค์ และลูฮานสค์
ก่อนหน้านี้ รัสเซียยึดครองไครเมียอย่างผิดกฎหมายในปี 2014 และกองกำลังของตนควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาคดอนบาส ภายใต้ข้อตกลงนี้ รัสเซียจะต้องยอมสละดินแดนของยูเครนในเขตเคอร์ซอนและซาโปริซเซีย ซึ่งขณะนี้ยังมีการควบคุมทางทหารอยู่บางส่วน
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ กล่าวในการสัมภาษณ์กับ Fox News ว่า ข้อตกลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “จะไม่เป็นที่พอใจของใครมากนัก”
ที่มา: BBC