หากกล่าวชื่อประเทศมองโกเลีย สิ่งแรก ๆ ที่หลายคนคงนึกถึงอาจเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เจงกิส ข่าน ผู้ก่อตั้งอาณาจักรมองโกล วิถีชีวิตแบบเร่ร่อนกับฝูงสัตว์และกระโจมผ้าใบ หรืออาจเป็นธรรมชาติยิ่งใหญ่ อย่าง ทะเลทรายโกบี ทุ่งหญ้าสเต็ปป์ หรือเทือกเขาสูงของดินแดนไร้เส้นทางสู่ทะเลแห่งนี้
ธรรมชาติยังคงอยู่ ยุคของเจงกิส ข่านจบไปนานแล้ว ส่วนวิถีชีวิตร่อนเร่ได้แรมรอนมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อผู้คนย้ายจากกระโจมผ้าใบสู่ตึกคอนกรีต
แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็หาใช่เรื่องแปลก แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก เมื่อวิถีดั้งเดิมไม่สามารถตามทันเทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจ การเมืองที่เคลื่อนอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบันได้ เพียงทว่าแต่ละประเทศมีจังหวะเปลี่ยนแปลงช้าเร็วต่างกันก็เท่านั้น มองโกเลียมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่โดดเด่นเช่นเดียวกับการเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวมองโกลคือ ชนเผ่าร่อนเร่ อาศัยในกระโจมที่เรียกว่า “เกอร์” (gers) ที่มีจุดเริ่มต้นย้อนไปกว่า 3,000 ปีก่อน เริ่มจากกลุ่มชาวเร่ร่อนในพื้นที่เอเชียกลาง และเดินทางเข้ามาในภูมิภาคนี้คือราวศตวรรษที่ 6 โดยกลุ่มชนเผ่าร่อนเร่ชาวเติร์ก
ชาวคีตันและชาวอุยกูร์หยิบเอานวัตกรรมที่เรียกว่ากระโจมทันที ต่างสรรค์สร้างเป็นกระโจมรูปแบบเฉพาะตนของแต่ละกลุ่ม รวมไปถึงชาวมองโกล หนึ่งในเชื้อชาติในเอเชียกลาง ที่มีถิ่นที่อยู่บริเวณที่ราบมองโกล
แม้ปัจจุบันชาวมองโกลจะอาศัยอยู่ในประเทศที่ชื่อว่า มองโกเลีย หรือมองโกเลียนอกเป็นหลัก (ราว 3 ล้านคน) แต่ยังมีมองโกเลียใน ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองหนึ่งของจีน (ราว 4.2 ล้านคน) อีกด้วย ขณะที่จักรวรรดิมองโกลไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดเชื่อกันว่ามีประชากรมากกว่านั้นมาก และช่วงจักรวรรดิมองโกลนี่เองที่วัฒนธรรมกระโจมรุ่งเรืองมาก
โดยทั่วไปกระโจมของมองโกลทำจากไม้ หุ้มด้วยหนังสัตว์ หรือผ้าใบเคลือบไขมันสัตว์เพื่อให้เคลื่อนย้ายได้สะดวก เพราะในหนึ่งปี ชาวมองโกลจะย้ายถิ่นฐานตามฤดูกาลอย่างน้อยปีละสามครั้ง แต่ก็มีกระโจมบางแบบที่ตั้งบนเกวียน เรียกว่า เกอร์เทอร์เกน ซึ่งถูกใช้กันราวศตวรรษที่ 13–16 สำหรับหัวหน้าเผ่า บางเกวียนกระโจมก็มีขนาดใหญ่มากจนต้องใช้วัวตัวผู้ถึง 22 ตัวจึงจะลากกระโจมเปล่าได้
บทความของ History On The Net กล่าวว่า สัตว์ที่ชาวมองโกลเลี้ยงมีอยู่หลัก ๆ 5 ชนิดคือ: ม้า แกะ อูฐ วัว และแพะ แต่ว่าก็อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับถิ่นอาศัยในขณะนั้น อาทิ บางครั้งชาวมองโกลอาจเลี้ยงจามรีแทนวัวได้หากอยู่ใกล้ทะเลทราย หรืออาจเลี้ยงม้า แกะ แพะ ชนิดที่ต่างกันไป แต่ละชนิดถูกเลี้ยงด้วยหลากหลายจุดประสงค์ เช่น เป็นอาหาร พลังงาน เป็นพาหนะ ใช้ในการรบ เลี้ยงเอาขน เพื่อใช้ขนของ
ไม่มีเมืองเก่าใดในโลกที่มีตึกสูงเสียดฟ้ามาตั้งแต่แรก แต่ตึกคอนกรีตหุ้มกระจกล้วนเข้ามาแทนอะไรสักอย่างที่เคยอยู่มาก่อน การขยายตัวของเขตเมืองอย่างกรุงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงมองโกเลียมาพร้อมกับตึกสูงที่ผุดขึ้น
กรุงอูลานบาตอร์เป็นเมืองหลวงที่ผสาน “ความเก่า” อย่าง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ วัดวาเก่าแก่ อนุสาวรีย์บอกเล่าประวัติศาสตร์เอาไว้ ร่วมกับของใหม่ อย่างสนามบินนานาชาติ และเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีสะอาด ถนนหนทางสมัยใหม่ รวมถึงเป็นแหล่งการลงทุนคึกคัก
ศูนย์กลางเติบโตดึงดูดผู้คนจากชนบทเข้ามาในเขตเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อการศึกษา โอกาสทางเศรษฐกิจ การรักษาพยาบาล และอื่น ๆ ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้มีประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรมองโกเลีย ขณะที่ทุ่งหญ้าและเกอร์ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
กันเออร์เดเน กันบัต คนเลี้ยงสัตว์ เล่าถึงความเปลี่ยวเหงาของคนที่ยังเลือกวิถีชีวิตดั้งเดิม
“มันก็ยากที่เห็นเพื่อน ๆ ย้ายเข้าไปเมืองใหญ่ สังคมของคุณเริ่มเล็กลง ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ที่ยังอยู่ที่นี่ และประชากรก็ลดลงด้วย ดังนั้นจึงมีเพียงแค่คนแก่ที่ผมไม่รู้จักอยู่ที่นี่” กันบัตกล่าว
เขายังชี้ว่าปัญหาหนึ่งที่เขาเผชิญขณะคนต่างย้ายเข้าเมืองคือ การหาคู่ เขาจึงฝากความหวังไว้กับสัตว์เลี้ยง เพราะหากชนะรางวัลได้จากแกะนับพันตัวที่เขาเลี้ยง รางวัลอาจสร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นที่รู้จักทั่วประเทศได้
ปัจจุบันมีคำกล่าวในกลุ่มคนมองโกเลียว่า “ผู้ชายเลี้ยงสัตว์ ผู้หญิงไปเรียนในเมืองใหญ่ กลายเป็นความไม่สมดุล” คำกล่าวนี้สะท้อนทางแยกของมองโกเลียที่ขาข้างหนึ่งยังอยู่ในโลกเก่า และอีกข้างอยู่ในโลกใหม่
ประชากร 1 ใน 4 ของประเทศจะนับว่ายังมีจำนวนมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ในแง่ที่ว่ายังคงวิถีดั้งเดิมที่ต่างกับโลกยุคใหม่มาก นั่นอาจเป็นเพราะมีความพยายามสร้างความสมดุลระหว่าง 2 วิถี คือก้าวเข้าสู่โลกใหม่ แต่พาเก่าไปด้วยแบบที่ต้องใช้การปรับตัว
บางครั้งการย้ายเข้าเมือง ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งวิถีแบบเกอร์เสมอไป พื้นที่รอบกรุงอูลานบาตอร์ กลายเป็นแหล่งกางกระโจมยอดนิยม หากแต่เป็นกระโจมถาวร เป็นชุมชนรอบเมืองหลวงที่ขาดแคลนการเข้าถึงน้ำสะอาด ระบบสุขาภิบาล การศึกษา และมาตรการควบคุมมลพิษ
ในปี 2019 มีการก่อตั้ง Ger Innovation Hub ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนและนวัตกรรมในเขตซงกิโนแคร์คานของอูลานบาตอร์ โจชัว โบลโชเวอร์ เป็นผู้อำนวยการ Rural Urban Framework และดีไซเนอร์ที่ Ger Innovation Hub กล่าวถึงความจำเป็นในการมี Ger Innovation Hub
“ตอนนี้ผู้คนในเขตเกอร์ กลายเป็นคนเมืองถาวร เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสะท้อนสังคมที่เปลี่ยนไป”
เขต Songinokhairkhan เป็นเขตหนึ่งรอบกรุงอูลานบาตอร์ ที่มีการเติบโตของเขตกระโจมรวดเร็วที่สุด เป็นบ้านของประชากรกว่า 60% ของเมือง และชาวเกอร์ในเขตนี้ต้องปรับตัวด้วยวิธีการต่าง ๆ หลายวิธี
กระโจมที่เคยทำจากไม้และหนังสัตว์ ไม่ก็ผ้าใบ ปัจจุบันบางส่วนทำจากโครงเหล็ก คลุมด้วยแผ่นพลาสติก PVC หรือวัสดุที่มีความเป็น “สมัยใหม่” อีกทั้งทนทานมากยิ่งขึ้น การปรับตัวไม่ใช่แค่ต่อวิถีชีวิตที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นเมือง แต่สภาพอากาศที่ทรหดยิ่งขึ้น
กระโจมจากไม้และผ้าใบไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะไม่จำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานให้ห่างจากเมืองใหญ่ การเลี้ยงสัตว์ก็ทำได้ยาก เพราะไม่มีพื้นที่ ไม่มีทุ่งหญ้าให้เลี้ยง ชุมชนแบบใหม่เป็นเรื่องใหม่มากสำหรับคนมองโกล ชนิดที่ว่าในภาษามองโกเลีย ไม่มีคำว่า “ชุมชน” ด้วยซ้ำ เพราะแนวคิดการอยู่กับที่ บนพื้นที่เดียว ร่วมกับคนอีกมาก ไม่เคยมีมาก่อนในอารยธรรมนี้
เพื่อให้การปรับตัวเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ให้สองโลกปะทะกันอย่างรุนแรงจนฝั่งใดต้องแตกหัก หรือหายไป ตัวอย่างคือกระโจมถาวรที่ Ger Innovation Hub สร้างกระโจมแบบใหม่ขึ้นมา เป็นกระโจมหน้าตาสมัยใหม่ แต่มีความคล้ายกระโจมดั้งเดิมอย่างน่าสนใจ อย่างแรกคือ อาคารแบ่งเป็น 2 ชั้นล้อกับกระโจมแบบดั้งเดิม ห้องด้านในทำจากอิฐโคลน ถูกล้อมรอบด้วยชั้นนอกที่ทำจากแผ่นโพลีคาร์บอเนต ซึ่งช่วยสร้างช่องว่างกันความร้อน และลดการใช้พลังงาน
นอกจากนี้ยังแฝงนวัตกรรมใหม่ เช่น หากมองจากด้านบนเป็นหกเหลี่ยมไม่สมมาตร แต่คือการแบ่งพื้นที่ให้สมาชิกใช้งานได้เหมาะสม มีพื้นที่เลี้ยงเด็ก เวิร์กชอป พื้นที่จัดการแสดง เพื่อสร้างความเป็นชุมชน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
กระโจมใหม่แบบนี้ยังอยากเน้นย้ำความเปิดสู่พื้นที่กว้าง แสดงถึงความอิสระแบบวิถีเดิม มีผนังที่พับและกางออกได้ มีประตู Dutch door ช่วยให้ผนังกลายเป็นหน้าต่างหรือประตูได้ รวมถึงมีผนังด้านนอกโปร่งแสงเพื่อรับแสงธรรมชาติ และยังมีสาธารณูปโภคแบบเมือง เช่น ไฟฟ้า น้ำ อินเทอร์เน็ต สามารถป้องกันความหนาวเย็นที่อาจลดต่ำได้ถึง -40 องศาเซลเซียสได้ อย่างที่เกอร์แบบดั้งเดิม และบ้านคอนกรีตทำไม่ได้
ข้อมูลจาก RufWork ปี 2018 ชี้ว่ามีคนอาศัยใน Ger Innovation Hub ในเมือง Songinokhairkhan กว่า 850,000 คน หรือราว 70% ของประชากร และยังเพิ่มขึ้นราวปีละ 30,000 คนทุกปี กระโจมใน Ger Innovation Hub มีราคารวม 67,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.1 ล้านบาท
เกอร์รูปแบบใหม่นี้คือภาพแทนการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตแบบมองโกเลีย ที่แม้หลายส่วนอาจทิ้งกระโจมผ้าใบ และฝูงแกะไว้ข้างหลัง แต่ใช่ว่าต้องทิ้งไปเสียทั้งหมด แต่สามารถหยิบเอาอัตลักษณ์ของเดิมบางอย่างมาใส่เข้ามาในปัจจุบัน เป็นหลักฐานว่าการก้าวเข้าชุมชนสมัยใหม่กับรากเหง้าเก่าที่สร้างคนมองโกลมายังสามารถเดินไปด้วยกันได้
ที่มา: National Geographic, Pulitzer Center , RUF, DesignBoom, The Out Factory