
น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เสนอคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 377/2568 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีเอกภาพ สามารถแปลงแนวนโยบายสำคัญให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง พร้อมทั้งบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐทุกระดับให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
คำสั่งดังกล่าวมีที่มาจากการที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ซึ่งรัฐบาลประกาศเป้าหมายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสุขของประชาชน ผ่าน 5 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการบริหารภาครัฐและการปฏิรูปกฎหมาย รวมทั้งหมด 15 ข้อที่ถือเป็น “นโยบายสำคัญ” ของรัฐบาล
เพื่อให้การดำเนินนโยบายเป็นไปอย่างมีทิศทางเดียวกันและต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีจึงใช้อำนาจตามมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำหน้าที่ขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานในแต่ละด้านอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ปฏิบัติตามนโยบายได้อย่างเป็นรูปธรรม
คณะกรรมการชุดนี้มี ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ โดยมี รองศาสตราจารย์ วรากรณ์ สามโกเศศ, นายนพพล ชูกลิ่น, และ นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ ขณะที่ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ทำหน้าที่ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการ
นอกจากนี้ คณะกรรมการชุดนี้ยังมีผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานหลักของภาครัฐร่วมเป็นกรรมการด้วย โดยรายชื่อคณะกรรมการทั้งหมดประกอบด้วย
คณะกรรมการมีหน้าที่ในการขับเคลื่อนและเร่งรัดนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้เกิดผลในเชิงปฏิบัติจริง โดยจะต้องติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชนที่อยู่ในกำกับฝ่ายบริหาร พร้อมทั้งประสานการทำงานกับรัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือประธานคณะกรรมการของหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อให้การดำเนินนโยบายสอดคล้องกับกรอบการบริหารของรัฐบาล
นอกจากการเร่งรัดนโยบายแล้ว คณะกรรมการยังมีอำนาจเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติงาน เสนอต่อนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อออกคำสั่งหรือมติต่อไป อีกทั้งสามารถประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือเชิญบุคคลภายนอกมาชี้แจงข้อเท็จจริง ให้ข้อมูล และเสนอความคิดเห็นหรือเอกสารหลักฐานที่จำเป็นต่อการพิจารณาของคณะกรรมการ
คณะกรรมการยังมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อช่วยดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตามความจำเป็น และสามารถดำเนินการอื่น ๆ ได้ตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมายเพิ่มเติม
คำสั่งได้กำหนดให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานและรวบรวมข้อมูลความคืบหน้าของการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญจากผู้ประสานงานของแต่ละส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการสนับสนุนการทำงานในเชิงยุทธศาสตร์ ให้ สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ให้การสนับสนุนด้านข้อมูล บุคลากร และทรัพยากรอื่นตามที่ประธานกรรมการหรือสำนักงาน ก.พ.ร. ร้องขอ
สำนักงาน ก.พ.ร. ยังได้รับมอบหมายให้อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานทุกชุด เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของคำสั่ง
การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของคณะกรรมการ รวมถึงคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน จะเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือเป็นไปตามระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง โดยใช้งบประมาณจากสำนักงาน ก.พ.ร.
คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป และจะมีผลต่อเนื่องจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะเข้ารับหน้าที่อย่างเป็นทางการ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและบูรณาการในทุกภาคส่วน