นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ภาพนักกฎหมายชาวกัมพูชา พร้อมเอกสารยื่นฟ้องกรณี 4 พื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะยืนอยู่หน้าที่ทำการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ ณ พระราชวังสันติภาพ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขา พร้อมระบุว่า
“ฯพฯ ปรัก โสคนน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา รายงานว่า เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568 เวลา 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (หรือ 16.30 น. ตามเวลากรุงพนมเปญ) กัมพูชาได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการแก่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อขอข้อยุติประเด็นพิพาทพื้นที่ชายแดนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควายและช่องบก โดย ฯพณฯ นางคิมซูร์ โสวันนารี เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำเนเธอร์แลนด์ ได้ยื่นเอกสารให้กับนายฟิลิป โกติเยร์ นายทะเบียนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยตรง”
นอกจากรายงานการยื่นเอกสารให้สาธารณชนทราบแล้ว นายฮุน มาเน็ตยังโพสต์ข้อความเพิ่มเติมระบุว่า “กัมพูชาจะไม่ถอยหนีในการใช้กลไกทางกฎหมายผ่าน ICJ เพื่อขอข้อยุติข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกัมพูชา-ไทย ณ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควายและช่องบก รัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินการด้วยความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบอย่างสูงที่สุด เพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนชาวกัมพูชา”
ตามรายงานก่อนหน้านี้ กัมพูชาจะขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินพื้นที่พิพาท 4 แห่งตามแนวชายแดนร่วมระยะทาง 800 กิโลเมตร ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ยิงปืนตอบโต้กันเป็นเวลาสั้น ๆ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม การปะทะกันส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย และทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องส่งกำลังทหารเสริมกำลังตามแนวชายแดนด้านตะวันออกของแนวชายแดนร่วม
การเผยแพร่ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังกระทรวงการต่างประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชากลับเข้าสู่การเจรจาทวิภาคี หรือใช้กลไกการเจรจาและตกลงร่วมกันระหว่างสองประเทศ ก่อนที่จะนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลก ซึ่งรัฐบาลไทยมีความชัดเจนว่าจะไม่รองรับอำนาจของศาลโลก
เมื่อวานนี้ นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เปิดเผยว่า เบื้องต้นทางรัฐบาลไทยยังไม่รับแจ้งข้อกล่าวหาหรือการฟ้องร้องใด ๆ จาก ICJ และยังไม่ทราบว่ารายละเอียดคำร้องของกัมพูชาฟ้องประเทศไทยว่าอย่างไร และใช้ฐานอำนาจอะไรในการฟ้องร้อง แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะมีกระทรวงต่างประเทศและภาคส่วนอื่น ๆ ได้จัดคณะทำงานเพื่อเตรียมรับมืออย่างใกล้ชิด และเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว หากศาลโลกหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาจริง
The Diplomat รายงานว่า กัมพูชาและไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของข้อพิพาทตามแนวชายแดนทางบกร่วมกัน ซึ่งกำหนดโดยสนธิสัญญาชายแดนระหว่างสยามและอินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1904 และ 1907 แต่ไม่เคยมีการกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจน คำร้องของกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยังตรงกับวันครบรอบ 63 ปีของคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ให้ปราสาทพระวิหารแก่กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นที่กลายเป็นประเด็นสำคัญในการสื่อสารของรัฐบาล กัมพูชา ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับรองคำตัดสินดังกล่าวในปี 2013 หลังจากช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดอันยาวนานซึ่งปะทุขึ้นเป็นการปะทะด้วยอาวุธตามแนวชายแดน โดยเฉพาะระหว่างปี 2008 และ 2011