รัฐบาลอิสราเอลออกแถลงการณ์ ระบุถึงรายละเอียดของปฏิบัติการสิงโตผงาด ที่เปิดฉากโจมตีอิหร่านในช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่น โดยให้เหตุผลว่า อิหร่านเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่ออิสราเอล และอ้างอิงถึงคำพูดของอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านที่ประกาศในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า รัฐบาลไซออนนิสต์ หรือชาตินิยมในกลุ่มยิว เป็นเนื้องอกที่เป็นอันตราย ร้ายแรง สมควรถูกกำจัด และมันจะต้องเป็นเช่นนั้น
อิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีอิหร่าน โดยระบุว่า มีเป้าหมายในการทำลายภัยคุกคามนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งภัยคุกคามนี้ไม่ได้เป็นอันตรายเฉพาะต่ออิสราเอล แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสเถียรภาพของภูมิภาคและความมั่นคงโลกอีกด้วย และในวันนี้ที่อิหร่านไม่ยอมยุติโครงการนิวเคลียร์ อิสราเอลก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปกป้องตนเอง
วิสัยทัศน์ของอิหร่านที่จะทำลายล้างอิสราเอลได้ถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวอันเป็นรูปธรรม ซึ่งประกอบด้วย:
● โครงการลับในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งดำเนินการภายใต้ฉากหน้าทางการการทูตและการปกปิด
● คลังขีปนาวุธพิสัยไกลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีศักยภาพสามารถยิงเข้าไปลึกถึงดินแดนอิสราเอลด้านใน
● เครือข่ายตัวแทนก่อการร้ายในภูมิภาค ได้แก่ ฮิซบอลเลาะห์, ฮามาส, ญิฮาดอิสลามแห่งปาเลสไตน์, กลุ่มฮูตี, กองกำลังชีอะห์ในอิรัก และรัฐบาลอัสซาดในซีเรีย ซึ่งถูกจัดวางอย่างมียุทธศาสตร์เพื่อโอบล้อมและคุกคามอิสราเอล
นับตั้งแต่ปี 2018 หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลประเมินว่า อิหร่านได้วางพิมพ์เขียวยุทธการสำหรับการโจมตีแบบประสานหลายด้านโดยไม่ให้มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และมีความเป็นไปได้ที่จะตามมาด้วยการรุกรานทางภาคพื้นดิน
รัฐบาลอิหร่านได้พยายามแสวงหาขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์มาโดยตลอด ผ่านการจงใจบิดเบือนข้อมูลต่อประชาคมโลกและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)
ในปี 2024 อิหร่านได้ยกระดับยุทธศาสตร์นี้อย่างชัดเจน ด้วยการ เปิดฉากโจมตีดินแดนอิสราเอลโดยตรงด้วยขีปนาวุธ ในเดือนเมษายนและตุลาคม ซึ่งนับเป็น การโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากสงครามผ่านตัวแทน (proxy warfare) ไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง
จากรายงานฉบับสมบูรณ์ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2025 และมติของคณะกรรมการบริหาร IAEA เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2025 ประเด็นต่อไปนี้ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจน คืออิหร่านมีแร่ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ (enriched uranium) เพียงพอสำหรับการผลิตระเบิดนิวเคลียร์อย่างน้อย 9 ลูก โดยหนึ่งในสามของปริมาณดังกล่าวถูกสะสมภายในเวลาเพียง 3 เดือน ขณะกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม การเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่ระดับความบริสุทธิ์ 60% ไม่มีเหตุผลใด ๆ ในการใช้งานพลเรือน และถือเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศของอิหร่านอย่างโจ่งแจ้ง โดย IAEA เตือนถึงความเสี่ยงจากการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการของอิหร่าน และเน้นย้ำว่า ยังมี “ปัญหาหลายประการที่ลึกซึ้งและน่ากังวลอย่างยิ่งซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข”
ในแถลงการณ์ของอิสราเอลชี้ว่า อิหร่านกำลังเข้าใกล้การครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างยิ่งยวด เหลือเพียงไม่กี่ก้าวสุดท้าย ดังนั้น เมื่อภัยคุกคามจากอิหร่านอยู่ในระดับใกล้ตัวและเฉียบพลัน อิสราเอลจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องดำเนินการก่อนที่จะสายเกินไป
อิสราเอลย้ำว่า มีสิทธิในการป้องกันตนเอง และได้เปิดปฏิบัติการดังกล่าวในฐานะทางเลือกสุดท้าย โดยดำเนินการอย่างแม่นยำและทรงพลัง ซึ่งเป้าหมายของปฏิบัติการมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายทางทหาร และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
แถลงการณ์ระบุว่า อิสราเอลไม่ได้มุ่งโจมตีประชาชนชาวอิหร่าน แต่เป็นการมุ่งจัดการกับกองกำลังหัวรุนแรงที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอิสราเอล และได้ดำเนินมาตรการทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับพลเรือนผู้ไม่เกี่ยวข้อง