วันพุธที่ 4 มิถุนายน อี แจ-มยอง ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง และเขาได้ประกาศคำมั่นที่จะพาประเทศฟื้นตัวจากความเสียหายอย่างหนัก ที่เกิดจากความพยายามประกาศกฎอัยการศึก และฟื้นเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ชัยชนะของอี แจมยองในการเลือกตั้งฉุกเฉินเมื่อวันอังคารที่ 3 มิถุนายน ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเกาหลีใต้ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย หลังจากประชาชนออกมาคัดค้านอย่างรุนแรงต่อความพยายามก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวของอดีตประธานาธิบดี ยุน ซอกยอล
ผู้นำคนใหม่ของเกาหลีใต้ประกาศว่า รัฐบาลอี แจมยองจะเป็นรัฐบาลที่ยึดหลักปฏิบัตินิยมและสนับสนุนกลไกตลาด หลังพิธีสาบานตนรับตำแหน่งที่รัฐสภา ซึ่งเมื่อ 6 เดือนก่อนหน้านี้ เขาเคยปีนกำแพงเข้าไปเพื่อลงมติคว่ำประกาศกฎอัยการศึก ขณะที่ทหารพยายามปิดล้อมอาคาร หลังยุน ซอกยอลประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่มีเหตุผล
อย่างไรก็ตาม อี แจมยองกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดของผู้นำเกาหลีใต้ในรอบเกือบ 30 ปี ตั้งแต่การเยียวยาบาดแผลทางการเมืองและสังคมจากเหตุการณ์กฎอัยการศึก ไปจนถึงการรับมือกับลัทธิกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทั้งพันธมิตรด้านความมั่นคงและคู่ค้ารายใหญ่ของเกาหลีใต้
อี แจมยอง วัย 61 ปี ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 49.4% มีชัยเหนือนายคิม มุนซู คู่แข่งคนสำคัญที่มาจากพรรคการเมืองเดียวกันกับอดีตประธานาธิบดียุน นับเป็นการแสดงออกถึงความต้องการของประชาชนในเกาหลีใต้ ซึ่งต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองมานานหลายเดือน
ดังนั้นในฐานะผู้นำประเทศคนใหม่ อี แจมยอง กำลังเผชิญภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง ประการแรกคือ การเยียวยาความแตกแยกในสังคม
ในบทสุนทรพจน์ระหว่างการปราศรัยรับตำแหน่งประธานาธิบดี อี แจมยองประกาศว่า เขาจะไม่มีวันปล่อยให้สถาบันประชาธิปไตยถูกคุกคามอีก และจะเป็นประธานาธิบดีที่ยุติการเมืองแห่งความแตกแยก
ทั้งนี้ ในเดือนธันวาคม 2024 อดีตประธานาธิบดียุนปรากฏตัวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจกลางดึก ประกาศกฎอัยการศึก โดยอ้างว่ามีอำนาจที่คอยบ่อนทำลายประเทศ พร้อมสั่งทหารระดมกำลังเข้าไปยังอาคารรัฐสภา
ในค่ำคืนนั้น อี แจมยอง เป็นหนึ่งนักการเมืองคนสำคัญที่กระโดดข้ามรั้วเพื่อเข้าไปยังอาคารรัฐสภา แล้วลงมติคว่ำการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เขากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ชัยชนะครั้งนี้นับเป็น การกลับมาอย่างน่าทึ่ง ของนักการเมืองที่เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวหลายครั้ง ทั้งคดีทุจริตและความขัดแย้งในครอบครัว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าเขาสามารถคว้าชัยได้เพราะสามารถจับกระแสความไม่พอใจของประชาชนได้อย่างแม่นยำ
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจสั่นคลอนทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์อันเปราะบางของเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ
โดยชาวเกาหลีใต้ต่างตกตะลึงเมื่อทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากเกาหลีใต้ 25% ครอบคลุมสินค้าทั้งหมด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาได้ตั้งกำแพงภาษีต่ออุตสาหกรรมหลักของเกาหลีใต้ ทั้งเหล็กและรถยนต์
หลายฝ่ายเคยเชื่อว่าความเป็นพันธมิตรทางทหารอันยาวนานตั้งแต่ยุคสงครามเกาหลี และการมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ จะช่วยปกป้องเกาหลีใต้จากมาตรการเชิงรุกเหล่านี้ แต่ปรากฏว่าความสัมพันธ์ก็ไม่อาจกันภัยเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทรัมป์จะออกมาตรการดังกล่าว เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ก็เริ่มชะลอตัวอยู่แล้ว ความวุ่นวายจากความพยายามประกาศกฎอัยการศึกยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และในไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจของประเทศก็หดตัวลง ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงกลายเป็นข้อเรียกร้องอันดับหนึ่งของประชาชนเหนือกว่าความต้องการฟื้นฟูประชาธิปไตยที่บอบช้ำเสียอีก