Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
Spot On: รัสเซีย-ยูเครน สงครามใต้เงายุโรป-สหรัฐฯ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

Spot On: รัสเซีย-ยูเครน สงครามใต้เงายุโรป-สหรัฐฯ

3 มิ.ย. 68
16:27 น.
แชร์

ชีวิตใต้หลุมหลบภัยในยูเครน

เด็ก ๆ ชั้นประถมและมัธยมหลายร้อยคนในเมืองคาร์คิฟ เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครน ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนเพียง 35 กิโลเมตร ต่างเดินทางลงมายังสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อฉลองวันเปิดเรียนวันแรก ณ โรงเรียนใต้ดิน ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาชั่วคราว โรงเรียนแห่งนี้ มีห้องเรียนราว 60 ห้อง รองรับนักเรียนได้มากกว่า 900 คน ซึ่งถูกเรียกว่า “ห้องเรียนหลุมหลบภัย” เพราะอยู่ลึกจากพื้นได้ไปประมาณ 6 เมตร มีระบบระบายอากาศและป้องกันรังสี ปกป้องคุณครูและนักเรียนจากภัยสงครามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ถัดมาที่เมืองซาโปริซเซีย เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีการสร้างโรงเรียนใต้ดิน โดยเริ่มดำเนินการสร้างโรงเรียน 10 แห่ง เพื่อรองรับนักเรียนหลายพันคน แล้วเสร็จทั้งหมดเมื่อปลายปี 2024 โรงเรียนเหล่านี้ถูกขยายผลไปทั่วประเทศ กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ของยูเครนระบุว่า มีการก่อสร้างโรงเรียนใต้ดินถึง 139 แห่ง โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 1 กันยายน 2025 ที่จะถึงนี้

โรงเรียนหลุมหลบภัยถูกออกแบบมาให้เป็นพื้นที่การศึกษาที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น เช่น ห้องเรียน โรงอาหาร และพื้นที่พักผ่อน เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และเติบโตต่อไปในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ดูเหมือนว่า ชาวยูเครนจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตใต้ดิน เพราะการปรับตัวสร้างความปลอดภัยให้ตัวเอง เริ่มต้นตั้งแต่ที่บ้านเสียด้วยซ้ำ เพราะบ้านหลายหลังในกรุงเคียฟและเมืองอื่น ๆ ปรับตัวสร้างหลุมหลบภัยขนาดใหญ่กันมานานหลายปีแล้ว

แม้แต่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ก็อาจจะใช้ชีวิตอยู่ใต้หลุมหลบภัยที่หนาแน่นของรัฐบาลในขณะนี้ เพราะมีข่าวลือกันว่า หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากโจมตีทั่วยูเครนอย่างรุนแรง ต่อเนื่องติดกันเป็นคืนที่ 3 นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2025 โดยปกติแล้ว เซเลนสกีจะอัดวีดิโอแถลงประจำวันในช่วงเย็นที่โต๊ะทำงานของเขา แต่ในช่วงที่รัสเซียโจมตีหนัก เห็นได้ชัดว่าฉากหลังเป็นพื้นขาวนวล จึงเชื่อกันว่าเขาต้องอยู่ในบังเกอร์หลบภัย หนีเอาชีวิตรอดจากขีปนาวุธและโดรนจากรัสเซียเช่นเดียวกับประชาชน

หลุมหลับภัยเคลื่อนที่ ฝีมือรัสเซียรับมือสงคราม

ทางฝั่งของรัสเซียก็สร้างเสียงฮือฮาให้ชาวโลก เพราะได้คิดค้น “หลุมหลบภัยเคลื่อนที่”เป็นจำนวนมาก ภายใต้ชื่อ KUB-M ที่จะมาช่วยปกป้องมนุษย์จากภัยคุกคามของยูเครน ไม่ว่าจะเป็นกระสุนปืน ระเบิด เศษซากอาวุธ และเศษซากอาคารที่ถล่มลงมา ไปจนถึงสารเคมีอันตรายและรังสีจากนิวเคลียร์ ความพิเศษของหลุมหลบภัยเคลื่อนที่คือ สามารถใช้งานได้ในชั้นดินเยือกแข็งและสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำได้ง่าย

หลุมหลบภัยเคลื่อนที่ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่ามันมีล้อเหมือนรถยนต์และสามารถขับไปยังจุดหมายปลายทางได้ แต่ที่กำบังคล้ายตู้คอนเทนเนอร์สามารถเคลื่อนย้ายไปตามจุดต่าง ๆ ด้วยรถบรรทุก คล้ายบ้านน็อคดาวน์ เว็บไซต์ข่าวด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ดีเฟนด์ เอ็กซ์เพรส (Defense Express) รายงานว่า หลุมหลบภัยแต่ละแห่งมีราคา 380,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 13 ล้านบาท

แม้รัสเซียจะออกมาอ้างว่าการสร้างหลุมหลบภัยในครั้งนี้ ไม่มีความเชื่อมโยงใด ๆ เกี่ยวกับสงคราม แต่จุดประสงค์ของหลมหลบภัยก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ประเทศแห่งนี้กำลังรับมือกับวิกฤตความรุนแรงการยึดครองดินแดนกับยูเครนมาต่อเนื่องหลายปีแล้ว และการประกาศในครั้งนี้ ยังเกิดขึ้นเพียง 2-3 วัน หลังจากอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุญาตให้ยูเครนยิงขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ เข้าไปในรัสเซียได้

2022 สงครามปะทุ ชาวยูเครน 8 ล้านคนพลัดถิ่น

สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มักมีคำพูดหรือเป็นที่รับรู้กันว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้เริ่มต้นปะทุขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2022 แท้จริง ๆ แล้ว เกิดอะไรขึ้น? Spotlight ชวนมาย้อนดูเหตุการณ์ในปีนั้น อะไรคือชนวนเหตุที่ทำให้ความร้อนแรงของสงครามระเบิดขึ้น 

ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 กองกำลังทหารรัสเซียกว่า 200,000 นาย พร้อมอาวุธและรถถัง บุกข้ามชายแดนเข้าสู่ยูเครน รัฐบาลรัสเซียอ้างว่า เป็นปฏิบัติการพิเศษทางทหาร เพื่อกวาดล้างลัทธินีโอนาซี ในรัฐบาลยูเครนภายใต้การนำของประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แม้ว่าก่อนหน้านั้น ตัวแทนจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO จะกล่าวเตือนให้รัสเซียยับยั้งชั่งใจ แต่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้เมินเสียงค้านของผู้นำยุโรป

การรุกรานทำให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีชาวยูเครนกว่า 6,900,000 คน หรือสูงสุด 8,000,000 คน ต้องลี้ภัยความรุนแรงออกนอกประเทศ นับว่าประชากร 1 ใน 3 ของทั้งประเทศต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่น ประเทศเพื่อนบ้านของยูเครน โดยเฉพาะโปแลนด์ รับภาระผู้ลี้ภัยจำนวนมาก ทำให้เกิดความท้าทายในการจัดการและให้ความช่วยเหลือ เมืองหลายแห่งในยูเครนถูกทำลายอย่างหนัก ทั้งอาคารบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ระบบพลังงานและคมนาคม

จอห์น เมียน์เชเมอร์ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิเคราะห์ว่า สงครามยูเครนที่ปะทุขึ้นในปี 2022 เป็นผลมาจากนโยบายของชาติตะวันตกที่พยายามดึงยูเครนเข้าสู่พันธมิตรตะวันตก ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นการคุกคามต่อ "เขตอิทธิพล" ของตนอย่างร้ายแรง รัสเซียเรียกร้องให้ NATO ปฏิเสธการรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก และถอนกองกำลังออกจากประเทศในยุโรปตะวันออกบางส่วน ซึ่ง NATO ไม่เห็นด้วย

จุดเริ่มต้นสงคราม

ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนอยู่ภายใต้บริบทของจักรวรรดิรัสเซีย กับดินแดนยูเครน ความขัดแย้งในช่วงเวลานั้นไม่ได้เป็น "สงคราม" ในแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่เป็นความตึงเครียดจากหลายปัจจัยซึ่งเป็นนโยบายรุกคืบของจักรวรรดิรัสเซีย หนึ่งในนั้นคือ  "Russianization" (การทำให้เป็นรัสเซีย) โดยพยายามกลืนชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของชนชาติที่ไม่ใช่รัสเซีย ภาษายูเครนถูกจำกัดการใช้และเผยแพร่ในที่สาธารณะ โรงเรียน และสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยมองว่าเป็นเพียง "ภาษาถิ่น" หรือ "ภาษาชาวนา" ไม่ใช่ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ

การกระทำเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจและกระตุ้นให้เกิดกระแสชาตินิยมยูเครน ชาวยูเครนจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองถูกปกครองโดยอำนาจจากภายนอก (มอสโก) และไม่มีสิทธิ์กำหนดชะตากรรมของตนเอง อย่างไรก็ตาม ยูเครนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตอย่างเป็นทางการ เมื่อมีการก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน ในปี ค.ศ. 1922

ในช่วงปี 1932-1933 ขณะที่ยูเครนอยู่ภายใต้การปกครองของโจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต มีการใช้นโยบายบังคับเก็บเกี่ยวพืชผลให้เกษตรกรยูเครนส่งมอบผลผลิตทั้งหมดให้กับรัฐฯ แม้ว่าตอนนั้นประชาชนจะขาดแคลนอาหารแล้วก็ตาม ประชาชนที่กักเก็บผลผลิตไว้จะโดนลงโทษอย่างหนัก ทำให้เกิด ‘ภาวะอดอยากครั้งใหญ่’ หรือ ‘โฮโลโดมอร์’นอกจากนี้ยังปิดกั้นความช่วยเหลือจากต่างชาติและไล่กำจัดปัญญาชนชาวยูเครน ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 3,000,000 - 4,000,000 คน

ยูเครนใต้เงายุโรป หวังพึ่ง NATO

ในปี 1991 ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยชนะสงคราม สหภาพโซเวียตล่มสลาย และยูเครนประกาศแยกตัวเป็นเอกราชจากโซเวียต นี่เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้ยูเครนหันไปพัฒนาความสัมพันธ์กับโลกตะวันตกมากขึ้น โดยเข้าร่วม North Atlantic Cooperation Council (เปลี่ยนชื่อเป็น Euro-Atlantic Partnership Council ในภายหลัง) ต่อมายูเครนเข้าร่วมโครงการ Partnership for Peace ของ NATO ในปี 1994 และ NATO-Ukraine ในปี 1997 จากนั้นก็ตกลงในแผนปฏิบัติการ NATO-Ukraine ในปี 2002 และเข้าร่วมโปรแกรม Intensified Dialogue ของ NATO ในปี 2005

ตลอดระยะเวลาหลายปี ยูเครนเข้าใกล้การเป็นส่วนหนึ่งของ NATO มากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2008 ที่การประชุม Bucharest Summit, NATO เห็นชอบว่ายูเครนจะกลายเป็นสมาชิกของ NATO และขั้นตอนต่อไปคือแผนปฏิบัติการสมาชิกภาพ แต่เส้นทางดังกล่าวต้องสะดุดลงเมื่อวิคเตอร์ ยานูโควิช ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนในเวลานั้น และรัสเซียขยายอำนาจเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด รัฐสภาในยุคของเขาจึงได้ยกเลิกเป้าหมายการเป็นสมาชิก NATO และดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด 

แม้ยานูโควิชจะได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น แต่ความนิยมของเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ การถดถอยของประชาธิปไตย การคอร์รัปชัน และที่สำคัญที่สุดคือการหันหลังให้กับเส้นทางสู่ยุโรป ซึ่งนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่และการขับไล่เขาออกจากตำแหน่งในที่สุด หลังจากนั้น ยูเครนหันกลับเข้ามาพึ่งพายุโรปอีกครั้ง แต่คราวนี้ยิ่งต้องทุ่มสุดตัวเพื่อเข้าร่วม NATO เพราะยูเครนต้องเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ ที่ต้องสูญเสียดินแดนไปในปี 2014

2014 ปมดินแดนไครเมีย ขั้วขัดแย้งชัดเจน

ในปี 2014 รัสเซียใช้กำลังทางทหารเข้าควบคุมคาบสมุทรไครเมีย และจัดการลงประชามติผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย นี่คือจุดแตกหักที่ฝังใจชาวยูเครนเป็นอย่างมาก เพราะมองว่ารัสเซียเข้ามายึดดินแดนอย่างอุกอาจ และยุโรปส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการผนวกดินแดนในครั้งนี้ อีกทั้งยังมองว่า รัสเซียได้ละเมิดบันทึกความเข้าใจบูดาเปสต์ เนื่องจากยูเครนไม่ได้รับหลักประกันและความช่วยเหลือตามที่ตกลงกันไว้

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน เพราะเป็นข้อตกลงที่ยูเครน รวมถึงเบลารุสและคาซัคสถาน ตกลงที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดที่ตกทอดมาจากสหภาพโซเวียต โดยแลกกับ การรับรองความมั่นคง จากชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ ได้แก่ รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร บันทึกนี้ลงนามเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1994 ซึ่งเกิดขึ้น 3 ปีหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งครั้งล่าสุดในปี 2022 กลายมาเป็นสงครามรัสเซียและยูเครนที่รุนแรงที่สุดในปัจจุบัน 

ยูเครนใต้เงาสหรัฐฯ กับ การโจมตีครั้งใหญ่ ในรอบ 3 ปี 

ตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากโจมตียูเครนในปี 2022 ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนระหว่างสองประเทศเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ยูเครนสามารถต่อกรกับรัสเซียได้ เพราะพึ่งพาแรงสนับสนุนของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เนื่องจากเขามีนโยบายที่ต่อต้านรัสเซียอย่างแข็งกร้าว โดยส่งกองกำลังทหาร สรรพาวุธ ระบบข่าวกรอง ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และ โดรนทำลายล้าง ซึ่งเป็นอาวุธใหม่ที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีเงินสนับสนุน เพื่อรับประกันความมั่นคงให้กับอำนาจอธิปไตยยูเครน 

เงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ ยังช่วยรักษาสภาพคล่องทางการเงินของรัฐบาลยูเครน สนับสนุนบริการสาธารณะที่จำเป็น เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา และการจ่ายเงินบำนาญ รวมถึงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากสงคราม ความช่วยเหลือนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้รัฐบาลยูเครนยังคงดำเนินงานได้ดีท่ามกลางความขัดแย้ง

แต่แล้วความแข็งแกร่งของยูเครนที่มีสหรัฐฯ หนุนหลัง ก็ต้องสั่นคลอนลง เมื่อโจ ไบเดนอยู่ในตำแหน่งจนครบวาระ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั่งเก้าอี้เมื่อต้นปี 2025 เขามีนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน และแน่นอนว่าต้องการถอนตัวออกจากสงครามทั่วโลก สำหรับยูเครนและปธะธานาธิบดีเซเลนสกี เรียกได้ว่ามีสัมพันธ์ลุ่ม ๆ ดอน ๆ กับทรัมป์ เซเลนสกีเคยถูกทรัมป์พิพาทรุนแรงในการพบปะกันอย่างเป็นทางการต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าเซเลนสกีไม่ยอมโอนอ่อนให้สงครามมันจบ ๆ ไป แต่ผ่านไปอีกสักพักก็ประกาศว่า ดีลกันลงตัวแล้วในเรื่องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ที่จะได้สิทธิ์บางประการควบคุมแร่ธาตุหายากในยูเครน แลกกับการรับประกันความมั่นคงของยูเครนที่กำลังสู้รบกับรัสเซีย

รัฐบาลทรัมป์พยายามจะลากทั้งสองฝั่งขึ้นโต๊ะเจรจาสงบศึก แต่ดูเหมือนว่าข้อตกลงหยุดยิงยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย มีเพียงข้อตกลงยิบย่อยที่ทั่วโลกเชื่อว่าทำแบบขอไปที เช่น ข้อตกลงหยุดโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน ข้อตกลงแลกเปลี่ยนตัวประกัน ที่แม้จะฟังดูดีและเกิดขึ้นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าความรุนแรงบนสมรภูมิรบจะลดน้อยลงเลย และในช่วงพฤษภาคมที่ผ่านมา รัสเซียยิ่งโจมตียูเครนหนักขึ้น มีการโจมตีหนักต่อเนื่อง 3 คืนติด ในขณะที่ตัวแทนประเทศไปเจรจาเรื่องสงบศึก และรอบนี้ยังรุกล้ำเข้าไปถึงกรุงเคียฟ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดความเสียหายรุนแรงที่สุดในรอบ 3 ปี

รัฐบาลยูเครนใต้เงาของสหรัฐฯ และยุโรป ออกมาร้องประณามไปถึงประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ว่าเพิกเฉยต่อการรุกรานของรัสเซีย ด้านโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อถูกจี้ จึงออกมาประกาศด่าทอผู้นำรัสเซียว่าเป็นบ้าไปแล้ว และสั่งการให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย เช่นเดียวกับยุโรปที่จะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน แต่ดูเหมือนรัสเซียจะไม่ได้สะทกสะท้านและเป็นช่วงเวลาที่ยูเครนตกที่นั่งลำบาก ขณะนี้ทั่วโลกกำลังจับตา ว่าคนกลางและมหาอำนาจจะดีลกันได้ลงตัวหรือไม่ และยูเครนอาจต้องตกอยู่ในเงาของรัสเซียอีกทาง ก็มีความเป็นได้เช่นกัน


แชร์
Spot On: รัสเซีย-ยูเครน สงครามใต้เงายุโรป-สหรัฐฯ