ฝรั่งเศสปัดข่าวปลอม ปธน.มาครงไม่ได้โดนภรรยาตบ
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2568) ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสรีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธคลิปวิดีโอที่ถูกส่งต่ออย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ โดยระบุว่า ไม่ใช่ภาพของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศส บริจิตต์ มาครง ตบหน้าสามี เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระหว่างลงจากเครื่องบินที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คลิปวิดีโอดังกล่าวแสดงภาพบริเวณประตูเครื่องบินและทางเดิน มีชายที่เชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีมาครงยืนอยู่ จากนั้นไม่นาน มือทั้งสองของหญิงที่เชื่อว่าเป็นบริจิตต์ มาครง ก็ยื่นออกมาจากด้านข้างและผลักหน้าของประธานาธิบดี
มาครงดูตกใจ แต่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมายิ้มและโบกมือให้กับสื่อมวลชนและประชาชนด้านนอก ระหว่างที่ทั้งคู่เดินลงจากบันไดเครื่องบิน มาครงยื่นมือให้บริจิตต์จับไว้ แต่เธอกลับปฏิเสธและเลือกจับราวบันไดแทน
ทำเนียบประธานาธิบดีออกมาปฏิเสธวิดีโอดังกล่าว พร้อมลดความสำคัญของประเด็นในภายหลัง โดยระบุว่าเป็นเพียง “ช่วงเวลาที่ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน” ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดประธานาธิบดีให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า ทั้งคู่เพียงแค่เถียงกันเล็กน้อยเท่านั้น
“นี่เป็นช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีกับภรรยาได้ผ่อนคลายกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเริ่มเดินทาง ทั้งสองหยอกล้อกันเล่นๆ” แหล่งข่าวกล่าวกับ CNN พร้อมเสริมว่าวิดีโอเพียงไม่กี่วินาทีนี้ ก็เพียงพอให้ผู้สนับสนุนรัสเซียบิดเบือนเป็นเรื่องอื้อฉาวได้
เนื่องจากมาครงเป็นหนึ่งในผู้นำที่ผลักดันให้ยุโรปแสดงจุดยืนสนับสนุนยูเครน และคว่ำบาตรรัสเซียอย่างเปิดเผย แหล่งข่าวจากฝ่ายประธานาธิบดีจึงระบุว่า มาครงตกเป็นเป้าการโจมตีด้วยข่าวอื้อฉาวทางออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง เช่น ข้อกล่าวหาว่าเขาเสพโคเคนบนรถไฟระหว่างเดินทางไปกรุงเคียฟ ร่วมกับนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ซ และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์
มีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นบัญชีจากรัสเซียกล่าวหาว่า ทิชชู่ที่มาครงหยิบขึ้นมานั้นคือถุงใส่ยาโคเคน ขณะที่มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ยังช่วยจุดกระแสข่าวลือนี้ให้รุนแรงขึ้น โดยอ้างว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความล้มเหลวโดยรวมของยุโรป
อย่างไรก็ตาม ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้แล้ว โดยยืนยันว่าเรื่องโคเคนเป็น “ข่าวปลอม” พร้อมทั้งประณามรัสเซียว่า พยายามบ่อนทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของชาติตะวันตกในการสนับสนุนยูเครน และพยายามบิดเบือนกระบวนการเจรจาสันติภาพผ่านการปั่นกระแสในโซเชียลมีเดีย
