หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทั้ง 8 แห่ง ประกาศยุติการให้เงินช่วยเหลือมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเพิ่มเติมจากเงิน ซึ่งเพิ่มเติมจากเงิน 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ถูกอายัดไปก่อนหน้านี้ โดยกองกำลังพิเศษร่วมของทำเนียบขาวเพื่อปราบปรามลัทธิต่อต้านชาวยิว ออกแถลงการณ์เรียกมหาวิทยาลัยอันโด่งดังแห่งนี้ว่าเป็น “แหล่งเพาะพันธุ์การเลือกปฏิบัติ”
ทนายความของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขและบริการด้านมนุษยธรรมลงนามในแถลงการณ์ที่ระบุว่า มีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยผู้นำของสถาบันให้ความสำคัญกับการประนีประนอมมากกว่าความรับผิดชอบ จึงทำให้มหาวิทยาลัยต้องสละสิทธิ์ในการขอรับการสนับสนุนจากผู้เสียภาษี
การอายัดเงินทุนของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในเบื้องต้นของรัฐบาลทรัมป์ได้รับการประกาศในวันเดียวกันกับที่ผู้นำมหาวิทยาลัยกล่าวว่า พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงหลายประการที่รัฐบาลร้องขอในจดหมายเมื่อวันที่ 11 เมษายนซึ่งรวมถึง "การปฏิรูปการกำกับดูแลและความเป็นผู้นำและการตรวจสอบ ความหลากหลายของมุมมองนักศึกษาและพนักงาน
ฮาร์วาร์ดยื่นฟ้องรัฐบาลทรัมป์ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา โดยอ้างกับผู้พิพากษาว่ารัฐบาลกำลังพยายามใช้การระงับเงินทุนเป็นแรงผลักดันเพื่อเข้าควบคุมการตัดสินใจทางวิชาการของฮาร์วาร์ด อลัน การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยกล่าวในขณะนั้นระบุว่า มหาวิทยาลัยจะไม่ยอมสละอิสรภาพหรือสละสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ทั้งฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเอกชนอื่น ๆ ไม่สามารถปล่อยให้รัฐบาลกลางเข้าควบคุมสถาบันการศึกษาเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายมีกำหนดขึ้นให้การในคดีดังกล่าวปลายเดือนกรกฏาคมนี้ ซึ่งคาดว่าเงินสนับสนุนทั้งหมดจะถูกอายัดไว้จนกว่าคดีจะแล้วเสร็จ
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ยกระดับมาตรการกดดันมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ โดยอ้างว่าสถาบันเหล่านี้ล้มเหลวในการจัดการกับการชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์เมื่อปีที่แล้ว และปล่อยให้แนวคิดต่อต้านชาวยิวแพร่กระจายในกลุ่มนักศึกษาทั่วอเมริกา
รัฐบาลของเขาได้พยายามปรับเปลี่ยนโฉมหน้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ โดยใช้มาตรการขู่จะตัดเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการวิจัย ฮาร์วาร์ดกลายเป็นมหาวิทยาลัยหลักแห่งแรกของสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัฐบาล และได้กล่าวหาทำเนียบขาวว่าพยายาม "ควบคุม" ชุมชนของมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ข้อเรียกร้องของทำเนียบข่าวที่มหาวิทยาลัยยอมรับไม่ได้ เช่น ให้รายงานนักศึกษาที่ "เป็นปฏิปักษ์ต่อคุณค่าของอเมริกา" ต่อรัฐบาล หรือบังคับให้จ้างหน่วยงานภายนอกที่ผ่านการรับรองจากรัฐบาลเพื่อตรวจสอบภาควิชาต่าง ๆ และภาควิชาที่ส่งเสริมการคุกคามต่อต้านชาวยิว เป็นต้น
บีบีซี รายงานว่า รายได้หลักของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมาจากการบริจาค ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.65 ล้านล้านบาท) ยอดเงินดังกล่าวถูกนำไปลงทุน ทำให้เกิดการต่อยอดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 แต่ฮาร์วาร์ดยังมีรายได้มหาศาลอีกส่วนหนึ่งจากค่าเทอมและเงินสนับสนุนของรัฐบาล ซึ่งถูกนำมาใช้กับการศึกษาวิจัยเป็นหลัก
เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยระบุว่า "หากปราศจากเงินทุนของรัฐบาลกลาง งานส่วนนี้จะต้องหยุดชะงักลงกลางคัน และเหล่านักวิจัยจะขาดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการทำวิจัยให้จบหรือการเริ่มต้นวิจัยใหม่ ๆ ในหลากหลายสาขาที่ฮาร์วาร์ดให้การสนับสนุน" ซึ่งรวมไปถึงการวิจัยด้านการรักษามะเร็ง
ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในนครนิวยอร์ก ยอมรับข้อเรียกร้องหลายประการเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากที่ทำเนียบขาวประกาศตัดงบประมาณจากรัฐบาลกลางจำนวน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯรัฐบาลของทรัมป์ยังระงับงบรัฐบาลกลางกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จัดสรรให้มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ รวมถึงงบประมาณ 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น
กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ระบุว่า หน่วยงานด้านสิทธิพลเมืองของกระทรวงกำลังสอบสวนมหาวิทยาลัย 45 แห่ง หลังจากมีข้อร้องเรียนว่าสถาบันเหล่านี้มีโครงการที่กำหนดสิทธิเข้าร่วมโดยอิงจากเชื้อชาติ ด้านโธมัส กิฟต์ ผู้อำนวยการศูนย์การเมืองสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน กล่าวว่าฮาร์วาร์ด "โชคดี" ที่สามารถรับมือกับการถูกตัดงบเหล่านี้ได้บ้าง แต่เหตุการณ์เดียวกันนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อมหาวิทยาลัยแห่งอื่นที่ขาดความพร้อม