ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า การดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ที่ดีเยี่ยมทั้งในด้าน สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และ ธรรมาภิบาล (Governance) ปัจจุบันไม่ได้เป็นสิ่งที่ ‘ควร’ กระทำ แต่เป็นสิ่งที่ ‘ต้อง’ กระทำเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันไว้ เพราะในปัจจุบันทั้งองค์กรระดับโลกและผู้บริโภคหันมาใส่ใจผลกระทบของธุรกิจต่างๆ ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น ทำให้หากยังไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจ องค์กรนั้นก็เสี่ยงเสียศักยภาพในการแข่งขันไป
ในฐานะหนึ่งในองค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของผู้นำไทยมาเป็นเวลาเกือบ 60 ปี สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทยหรือ TMA จึงได้เตรียมจัดงาน Sustainability Forum 2023 ขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ภายใต้หัวข้อ “Mitigating Risks, Finding Opportunities - ลดความเสี่ยง สร้างโอกาสธุรกิจ” เพื่อให้องค์กรต่างๆ ได้รับความรู้ แนวคิด และแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน ESG และนำประโยชน์จาก ESG มาสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและก้าวกระโดด ด้วยการนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ตั้งแต่การวางยุทธศาสตร์และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังและเหมาะสม
นางสาว วรรณวีรา รัชฎาวงศ์ กรรมการบริหารของ TMA กล่าวว่า งาน Sustainability Forum 2023 ที่จะจัดขึ้นในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความตระหนัก (awareness) และเผยแพร่องค์ความรู้ แนวคิด และแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน ESG ให้แก่องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยก่อน โดยได้เกียรติจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ด้าน ESG มากมายจากองค์กรชั้นนำของโลกและของไทยที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการนำแนวคิด ESG มาใช้การในการบริหารจัดงานองค์กรกันอย่างคับคั่ง
โดยเนื้อหาในการบรรยายและพูดคุยต่างๆ ภายในงานจะช่วยให้องค์กรที่สนใจได้ความรู้ที่พร้อมนำไปใช้งานได้จริง เริ่มตั้งแต่วิธีเริ่มต้นทำ ESG ในองค์กร การมองภาพกว้างและเจาะลึกความเสี่ยงพร้อมผลกระทบ การวางกลยุทธ์ด้าน ESG ที่ดี รวมไปถึงบทบาทของผู้นำในการบริหารและขับเคลื่อนองค์กรเพื่อเปลี่ยนความเสี่ยงให้เป็นการเติบโตตามหลัก ESG
ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีบีเอกซ์ จํากัด (มหาชน) และรองประธาน สมาคมการจัดการธุรกิจแหงประเทศไทย (TMA) กล่าวว่า ปัจจุบันแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG นั้นไม่ใช่สิ่งที่ ‘nice to do’ หรือสิ่งที่ ‘ทำก็ดี’ เพื่อพัฒนาภาพลักษณ์ขององค์กรเหมือนในอดีตแล้ว แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ (obligation) เพราะในปัจจุบันทั้งองค์กรระดับโลก พาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจ และผู้บริโภคต่างให้ความสนใจในเรื่องนี้ และคิดเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาลงทุนทำธุรกิจด้วย
ดังนั้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไว้ ผู้บริหารยุคใหม่จึงต้องหันมาสนใจและปรับเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจและวิธีบริหารจัดการองค์กรตามหลัก ESG กันมากขึ้น โดยดร. อารักษ์แนะว่าให้เริ่มจาก ‘บนลงล่าง’ (tone from the top) ด้วยการกำหนดแนวปฏิบัติและเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับคนทั้งองค์กร เพราะการทำเช่นนี้จะช่วย streamline ให้การทำ ESG ในองค์กรมีแนวทางชัดเจน ไม่สะเปะสะปะ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่กลายเป็นเพียงการทำ CSR เพื่อภาพลักษณ์ขององค์กร แต่เป็นการทำให้ความยั่งยืนกลายเป็นวัฒนธรรม หรือ ‘DNA’ ของบริษัทซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาว
โดยองค์กรต่างๆ ที่ได้นำแนวคิด ESG มาใช้เป็นปัจจัยในการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจนั้นจะมีกลไกในการกำกับดูแลกระบวนการบริหารจัดการ รวมไปถึงการจัดการกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ได้มุ่งเน้นแค่หาผลกำไรที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังคิดถึงผลกระทบที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงมีการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ESG นั้นไม่ได้ครอบคลุมถึงการดำเนินงานด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับมิติด้านสังคม และธรรมาภิบาลด้วย ซึ่งรวมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างเท่าเทียม มีค่าตอบแทนที่เป็นธรรม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีการบริหารที่มีประสิทธิภาพโปร่งใส และมีนโยบายต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชั่น
ดร. อารักษ์ กล่าวว่า หน้าที่หลักของธุรกิจทางการเงินในการสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นภายในประเทศ คือการทำหน้าที่เป็น ‘enabler’ สนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ใน ecosystem หรือภาคเอกชนของไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย Net-Zero ของประเทศได้
ดังนั้น นอกจากการปรับกระบวนการทำธุรกิจภายในองค์กรเองให้เป็นไปตาม ESG แล้ว ธุรกิจการเงินยังสามารถสนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ ที่เป็นลูกค้า หรือคู่ค้ามีแนวปฏิบัติ ESG ที่ดีขึ้นในหลายทางด้วยกัน ทั้งด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Climate Technology เช่น เทคโนโลยีที่จะมาช่วยให้บริษัทต่างๆ ทำ reporting หรือการทำรายงานด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนให้ธุรกิจทั้งภายในและภายนอกใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือการทำ green financing โดยการให้สินเชื่อหรือเงินสนับสนุนสำหรับธุรกิจที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม
โดยในเบื้องต้น ทาง SCB ตั้งเป้าให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมภายในปี 2050 และตั้งวงเงินไว้ประมาณ 2 แสนล้านบาท ทั้งสำหรับเป็นสินเชื่อ และเป็นเงินลงทุนในการส่งเสริมธุรกิจสีเขียวในภาคเอกชนไทย
นอกจากนี้ ในช่วงต่อไป SCB ยังกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้าง ecosystem ในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะมองว่าการนำกลไกตลาดเข้ามาช่วยจูงใจและทำให้ธุรกิจต่างๆ ในไทยปรับเปลี่ยนเป็นธุรกิจที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าทำ โดยปัจจุบันยังอยู่ในช่วงศึกษาและทดลองเพราะยังติดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบอยู่