Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เขียวจริงหรือลวงตา? ชวนมองพลังงานจากน้ำ ดีต่อโลกหรือโอกาสทางธุรกิจ
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

เขียวจริงหรือลวงตา? ชวนมองพลังงานจากน้ำ ดีต่อโลกหรือโอกาสทางธุรกิจ

25 ก.ย. 68
17:53 น.
แชร์

“ความยั่งยืน”, “สิ่งแวดล้อม”, “พลังงานสะอาด” ทศวรรษนี้ใคร ๆ ก็ต่างหยิบคีย์เวิร์ดเหล่านี้มาพูดกันทั้งนั้น โดยเฉพาะภาครัฐ และธุรกิจขนาดใหญ่ แต่พูดถึงแต่ละครั้งต้องพ่วงท้ายด้วยคำว่า “ความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน” แต่ของทุกคนที่ว่า ทุกคนได้ประโยชน์ถ้วนหน้าจริงหรือเปล่า

เขียวลวง เป็นหัวข้อหลักบนเวทีสนทนาของ “แมว” หรือ Mekong-Asean Environmental Week สัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่น้ำโขง-อาเซียน ภายใต้หัวข้อ “The Fake Green เขียวลวง ปฏิบัติการฟอกเขียวกับพลังประชาชน” แต่ “เขียวลวง” คืออะไร?

จากการสนทนาของกลุ่มนักสิ่งแวดล้อม เขียวลวงคือ การดำเนินการใดภายใต้ข้ออ้างว่า ทำเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่แท้จริงกลับไม่ได้แก้ปัญหา ซ้ำยังสร้างปัญหามากขึ้นไปเสียอีก อาจเกิดขึ้นเพราะการฉวยเอากระแสการรักษาสิ่งแวดล้อมมาเป็น “โอกาสใหม่ทางธุรกิจ” หรือ “การหาประโยชน์ทางการเมือง” โดยมองข้ามผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน และตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นบนภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงคือ เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ

เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำคืออะไร?

ไฟฟ้าพลังงานน้ำคือ พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากน้ำ มักสร้างจากการสร้างเขื่อนปิดกั้นแม่น้ำไว้ มีระดับสูงจนมีน้ำและแรงดันมากพอหมุนกังหันน้ำ และสร้างพลังงานได้

พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงอยู่ภายใต้โครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังงานน้ำที่เชื่อกันว่า เป็นพลังงานสะอาด ดีต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดการใช้พลังงานฟอสซิลตัวร้ายได้ ทั้งยังดีต่อเศรษฐกิจภูมิภาคอีกด้วย ตัวอย่างเช่น เขื่อนพูงอย เขื่อนไซยะบุรี และอีกมากมายที่สร้างโดยรัฐบาลจีน ณ ต้นสาขาแม่น้ำโขง

เพื่อสิ่งแวดล้อม ทำให้คน-ธรรมชาติเดือดร้อน

แต่ที่ปลายแม่น้ำ ประชาชนมากมายกลับได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และด้านพลังงานเอง ชุมชนที่ปลายแม่น้ำก็ไม่ได้ประโยชน์มากนัก ตามรายงานองค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลปี 2566 ชี้ว่า เขื่อนบนต้นสาขาแม่น้ำโขงปิดกั้นเส้นทางการอพยพของปลา ดักตะกอนและแหล่งอาหารตามธรรมชาติ ทำให้ระดับน้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นสาเหตุของน้ำแล้งในฤดูน้ำหลากปี 2562 และเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันหลายครั้ง

แม้จะมีเขื่อนพลังงานไฟฟ้าหลายแห่งบนแม่น้ำแห่งนี้ แต่คุณเปรมฤดีอ้างถึงแผนวิสัยทัศน์อาเซียน ที่ใช้เวลากล่าวถึงเรื่องความยั่งยืนมาก และยอมรับออกมาด้วยว่าภูมิภาคอาเซียนยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอยู่ถึง 80% 

กลับมากระแสวิพากษ์วิจารณ์ผลกระทบจากเขื่อนพลังงานไฟฟ้าว่า ไม่ใช่พลังงานสะอาดเสียหน่อย คุณเปรมฤดี ดาวเรือง นักสิ่งแวดล้อมผู้นำงานสิ่งแวดล้อมในแถบลุ่มแม่น้ำโขงมายาวนานมากกว่าสองศตวรรษ กล่าวถึงการอ้างว่า “พลังงานน้ำ = พลังงานสะอาด” ว่า ขัดต่อความจริงที่เกิดขึ้น ณ พื้นที่แหล่งกำเนิดพลังงาน

“เราคุ้นเคยกับคำว่า ‘พลังงานสะอาด’ และเรานักสิ่งแวดล้อมเถียงมาเสมอว่า เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขง ไม่มีอะไรสะอาดเลย มันสร้างภัยพิบัติมากมายให้สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และวิถีชีวิตของผู้คน [...] คำว่าเขียวก็ไม่ต่างกับคำว่าสะอาด” คุณเปรมฤดีกล่าว

นอกจากประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง อินโดนีเซียเองก็เป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการผลิตพลังงานจากน้ำ คุณเมอราห์ โยฮันซาห์ จากสถาบันนูกัลเพื่อการศึกษาด้านสังคมและนิเวศวิทยา ก็ได้พูดถึงผลกระทบและการต่อต้านจากภาคประชาชนต่อ โรงไฟฟ้าพลังน้ำเมนตารัง ที่จังหวัดกาลิมันตันเหนือ

โรงงานไฟฟ้าพลังน้ำเมนตารัง

โรงงานเมนตารังเป็นหนึ่งในโครงการพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนเขตอุตสาหกรรมพิเศษ ผลิตอะลูมิเนียมและ “พลังงานสะอาด” พัฒนาโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง PT Kayan Hydropower Nusantara (KHN) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง PT Kayan Patria Pratama (อินโดนีเซีย) และ Sarawak Energy Berhad (มาเลเซีย)

แต่สถาบันนูกัลไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่ยักษ์ แต่เป็นความร่วมมือของคนรากหญ้า กลุ่มชาติพันธุ์ และชุมชนที่ต่อสู้อยู่แนวหน้า และต้องการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคประชาชนในการปฏิเสธโครงการที่มองข้ามผลกระทบต่อชุมชน

“พวกเราและชุมชนต้องการเสริมสร้างความเชื่อมั่น หรือสิทธิที่จะพูดว่า 'ไม่' ต่อทุกโครงการขนาดใหญ่ที่จะสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษของพวกเขาและอนาคตของพวกเขา ดังนั้นตอนนี้เราจึงมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบของเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและโครงการระบบพลังงาน” คุณโยฮันซะห์กล่าว

แต่ต้นทุน “พลังงานสะอาด” คือหมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองปูนันมากกว่า 10 หมู่บ้าน ที่กำลังเผชิญภัยคุกคามต่อถิ่นฐานที่อยู่กันมายาวนาน มีการยึดที่ดิน ป่าไม้ และน้ำมากกว่า 200 ตารางกิโลเมตรเพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ใจกลางเกาะบอร์เนียว การสร้างโครงการสีเขียวทั้งหลาย คุณโยฮันซะห์ยังชี้ว่า เป็นภัยต่อป่าฝนบนเกาะบอร์เนียวและความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำใหญ่หลายสาย

ใต้หน้ากากสีเขียว คือผลประโยชน์การเมือง-ธุรกิจ

คุณโยฮันซะห์ยังกล่าวว่า ภายใต้คำว่า “เขียว” และ “สะอาด” นั้น ที่ซ่อนอยู่คือผลประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจ ตัวอย่างที่เขากล่าวถึงคือ โครงการ Green ASEAN และโครงการ Asia Zero Emission Communities นำโดยกระทรวงพลังงานและการค้าของญี่ปุ่น ที่จะมีบริษัทขนาดใหญ่มาลงทุนมากมาย

“เรามองว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงการเปิดทางให้ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสกัดทรัพยากร (extractive industry) ขยายอิทธิพล ยกตัวอย่างเช่น บางพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการมีความเชื่อมโยงกับพี่ชายของประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ดังนั้นนี่จึงเป็นการรวมศูนย์อำนาจของทุนชนชั้นนำที่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของคณาธิปไตย (oligarchy)” โยฮันซะห์ยังกล่าว

เขายังกล่าวถึงความเชื่อมโยงจากต่างประเทศ อาทิ การถือหุ้นของบริษัทจีนชื่อ Sungsan และยังเชื่อมโยงกับ Sarawak Energy ของมาเลเซียซึ่งถือหุ้น 15% ในโครงการนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขนาดใหญ่ในกาลิมันตันเหนือ

“ผมบอกได้ว่า นี่คือวงจรการเงิน และวงจรของการทำลายล้างในนามของความฝันสีเขียวจอมปลอม” โยฮันซะห์กล่าว

ความพยายามจากภาคประชาชนบราซิล

เลติเซีย โอลิเวรา เป็นนักเคลื่อนไหวจากนาตาล ประเทศบราซิล เป็นตัวแทนกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนและความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เธอกล่าวถึงเขตการรื้อเขื่อนแตกที่มาริอานาเมื่อปี 2015 ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างหนัก

หายนะปี 2015 มีสาเหตุมาจากการระบายน้ำที่บกพร่อง และการออกแบบที่ไม่ดีพอ ทำให้เกิดการกัดเซาะและทำให้โครงสร้างอ่อนแอ ขบวนการภาคประชาชนของโอลิเวรา จึงสนับสนุนการปฏิเสธการสร้างเขื่อนในพื้นที่ และไม่ใช่แค่จากภัยเขื่อนมาริอานา แต่รวมถึงเขื่อนอื่น ๆ ด้วย

“พวกเราต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะปฏิเสธการสร้างเขื่อนในชุมชนของเรา และเพื่อสิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบเมื่อเขื่อนถูกสร้างขึ้น เพราะเขื่อนพลังน้ำไม่ใช่ทางออกสีเขียว ไม่ใช่ทางเลือกที่ยั่งยืน แต่เป็น 'ทางออกสีเขียวจอมปลอม' ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง”

ผู้ร่วมสนทนาอีกท่านจากบราซิลคือ วีนนี่ โอเวอร์บีก จาก World Rainforest Movement ที่ทำงานสนับสนุนการต่อสู้ของชุมชนระดับรากหญ้าที่พึ่งพาป่าไม้ในลาตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วีนนี่กล่าวถึงภัยคุกคามต่อป่าไม้ภายใต้สิ่งที่หลายรัฐบาล และธนาคารโลกเรียกว่า “ทางออก” นั่นคือ การปลูกป่าเชิงเดี่ยว เช่น การปลูกยูคาลิปตัสในไทย วีนนี่กล่าวว่า การปลูกป่าเชิงเดียวทดแทนไม่ได้แก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า

“ทางออกพวกนี้ไม่เคยแก้ปัญหาการทำลายป่าในวงกว้างจริง ๆ ตรงกันข้าม เป็นแนวทางที่ถูกผลักดันโดยผู้ที่ได้ประโยชน์จากการทำลายป่า” โอเวอร์บีกกล่าว

เขายังวิจารณ์ “เศรษฐกิจสีเขียว” คำที่ถูกประดิษฐขึ้นมาหลังโลกตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไป โดยหาประโยชน์จากแหล่งกักเก็บคาร์บอนจากป่า ป่าที่ชุมชนต่าง ๆ ดูแลมานานหลายชั่วอายุ

โอเวอร์บีกกล่าวว่า บริษัทใหญ่เข้าไปมอบเงินทุนสำหรับการดูแลป่าให้ชุมชนและ NGO แต่ด้วยความไม่เข้าใจบริบทท้องถิ่น กลับจำกัดการใช้ประโยชน์ป่าของชุมชน โดยเฉพาะผู้หญิงที่พึ่งพาป่าในการดำรงชีวิตมาก

และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ การยึดป่าจากชุมชน ด้วยข้ออ้างว่า “ปกป้องไม่ให้ชุมชนทำลายป่า” และการยึดพื้นที่ป่าจากชุมชนจะทำให้บริษัทใหญ่และรัฐบาลสามารถชดเชยคาร์บอนเครดิตที่เสียไปได้

“นี่เรื่องโกหกอีกเช่นกัน แต่ก็เป็นตรรกะของ 'เศรษฐกิจสีเขียว' ผลที่เกิดขึ้นก็คือ การตัดไม้ทำลายป่ายังคงดำเนินต่อไป การขุดเจาะและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงดำเนินต่อไป การปล่อยคาร์บอนก็ยังคงเพิ่มขึ้น” โอเวอร์บีกกล่าว

เขียวลวง กับกระบวนการทางการเมืองอันตื้นเขิน

มีคำกล่าวที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ บนโซเชียลมีเดียว่า “ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการเมือง” เรื่องโครงการสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ศาสตราจารย์ โซยอน ซน คิม จากมหาวิทยาลัยโซกัง ก็เห็นเช่นนั้น

“เทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอน และอะไรพวกนี้ ที่จริงแล้วนี่เป็นกระบวนการทางการเมือง ที่ใช้ปฏิรูประบบสถาบันที่มีอยู่เดิม รวมถึงวิถีชีวิตและวิธีคิดของเรา” คิมกล่าว และเสริมว่า จากประสบการณ์การทำงาน 25 ปี คำกล่าวอ้างเรื่องสิ่งแวดล้อมมีแต่จะตื้นเขินขึ้นทุกวัน

“สิ่งที่พูดกันส่วนใหญ่ถูกลดทอนให้เป็นเพียงการพูดเรื่องการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นการถกเถียงเชิงเทคนิคที่แคบมาก มุ่งเน้นไปเพียงเรื่องเดียว เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือคาร์บอนเครดิต ทั้งที่เรื่องสิ่งแวดล้อมใหญ่กว่านั้นมาก” คิมกล่าว

เธอชี้ว่า การใช้คำว่า “สีเขียว” ทำให้เรามองปัญหาแคบลง การที่บทสนทนาวนอยู่แค่พลังงานสีเขียว พลังงานสะอาด ลดการปล่อยคาร์บอน ทำให้เกิด “ทางออก” ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าแก้ปัญหา

“อีกอย่างคือ ทั้งพลังงานสีเขียว พลังงานสะอาด และพลังงานจากน้ำนั้น เราอ้างว่าช่วยลดคาร์บอนเครดิต แต่เราลืมว่าสิ่งที่ทำจริง ๆ คือการทำลาย เราต้องปิดพื้นที่ก่อน เราต้องตัดต้นไม้ทิ้ง บางทีก็ตัดจนเหี้ยน เราปล่อยต้นไม้ที่ไม่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ทิ้งไว้ แล้วก็ปล่อยน้ำท่วมทั้งพื้นที่”

คุณณิชา เวชพานิช สรุปการสนทนาเรื่อง “เขียวลวง” นักสิ่งแวดล้อมที่กล่าวถึงผลเสียของความพยายามเพื่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทใหญ่และภาครัฐไม่ได้ประสงค์ต่อต้านหรือขวางโลก แต่เพียงอยากจุดความคิดว่า ความพยายาม พลังงาน และเงินที่ใส่ลงไปในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมสามารถช่วยผู้คนได้จริง ๆ และทำให้ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมได้

งานสัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่น้ำโขง-อาเซียน ครั้งที่ 7 ปี 2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-30 กันยายน 2568 ณ ภัตตาคารแม่นำพร จังหวัดนครพนม มีเวทีเสวาด้านสิ่งแวดล้อม งานฉายภาพยนต์ Mekong Asean Documentary Film Week In MAEW 2025 จากนานาประเทศ และกิจกรรมอื่น ๆ


แชร์
เขียวจริงหรือลวงตา? ชวนมองพลังงานจากน้ำ ดีต่อโลกหรือโอกาสทางธุรกิจ