แนวคิดต่อต้านผู้อพยพและผู้ลี้ภัยกำลังงอกเงยขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการอพยพคือผลพวงของสงคราม ความขัดแย้ง และความต่างทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ผู้คนหลายร้อยล้าน (281 ล้านคนทั่วโลกในปี 2020, ข้อมูลจาก IOM) ต้องโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่าใช้ชีวิต หรือลี้จากภัยอันตราย แม้เต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม
เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ก็ไม่แน่จะเจอชีวิตที่กว่าหรือไม่ แต่สิ่งที่ผู้อพยพหลายคนมักเจอคือ “ทัศนคติต่อต้าน” จากผู้ที่อยู่มาก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ข้อยกเว้น (แม้คนส่วนใหญ่ที่อยู่มาก่อน โดยมากก็ไม่ใช่คนเชื้อชาติไทยแท้แต่อย่างใด) และมักแสดงให้เห็นชัดในช่วงนี่ความรู้สึกแบบ “ชาตินิยม” ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเหตุผลประการต่าง ๆ
คนไทยมีแนวคิดต่อผู้อพยพจากประเทศใกล้เคียงอย่าง ลาว เมียนมา หรือกัมพูชาว่า สร้างผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่สร้างผลร้ายต่อสังคม และไม่สนับสนุนการอพยพเข้าประเทศ–อ้างอิงจากรายงานมุมมองของคนไทยต่อการอพยพเข้าประเทศ (วิชุดา สาธิตพร, 2019)
แต่การต่อต้านนั้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะความกลัวสิ่งที่ไม่รู้คือความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ (คาร์เลตัน, 2016, หน้า 39) เป็นกลไกป้องกันตัวต่อสิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งเชื่อมโยงกับที่รายงาน ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน และผู้ลี้ภัยจากเมียนมาในประเทศไทย: สถานการณ์และผลกระทบหลังปี 2564 ชี้ว่า ทัศนคติทางลบของคนไทยที่มีต่อผู้โยกย้ายถิ่นฐานชาวเมียนมาในไทยมักเกิดจาก “การได้รับข้อมูลที่ไม่พอ” และทัศนคติมักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังรู้ข้อมูลมากเพียงพอ
Spotlight จึงอยากสรุปข้อมูลเกี่ยวผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา (ขอเรียกโดยรวมในบทความฉบับนี้ว่าผู้โยกย้ายถิ่นชาวเมียนมา) จากรายงานฉบับดังกล่าวเพื่อสร้างการรับรู้ต่อผู้โยกย้ายถิ่นฐานชาวเมียนมาที่ดีขึ้น
คนจากเมียนมาเดินทางเข้าประเทศไทยด้วย 2 เหตุผลหลักคือ 1. มองหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และ 2. หลบหนีความรุนแรงจากสงครามการเมือง เราเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า “การย้ายถิ่นฐานแบบผสม” สาเหตุที่เป็นประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางหลักของผู้อพยพเมียนมา เพราะประเทศไทยมีนโยบายที่เป็นมิตรต่อประเทศอื่นในภูมิภาค
เหตุกระตุ้นที่สำคัญมากคือเหตุการณ์รัฐประหารปี 2564 ที่ทำให้มีผู้พลัดถิ่นในประเทศมากกว่า 3.5 ล้านคน และหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านกว่า 184,600 คน (ข้อมูลจาก UNOCHA, 2024) ขณะที่องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ชี้ว่า ในปี 2566 มีชาวเมียนมาข้ามเข้าสู่ชายแดนไทยอย่างน้อย 1.3 ล้านคน และ 649,000 คนในครึ่งแรกของปี 2567
อีกเหตุกระตุ้นคือ การใช้กฎหมายบังคับเกณฑ์ทหารในต้นปี 2567 ที่ทำให้จำนวนคนข้ามแดนเพิ่มขึ้นกว่า 330,000 คนภายใน 2 เดือน แสดงให้เห็นว่า คนเมียนมาจำนวนมากมองเห็นประเทศไทยเป็นที่พึ่งพิง
“การกินการใช้ เครื่องนุ่งห่ม เราอาศัยจากประเทศไทยทั้งนั้น เราก็ไม่รู้ว่าเวลาเรามีปัญหาเราจะหนีไปประเทศไหนนอกจากไทย” Sai Tun Shwe หรือมีชื่อไทยว่า เมือง กล่าว
เปรียบเทียบกันจากไม่กี่แหล่ง เราก็พอเห็นกันอย่างชัดเจนว่า ตัวเลขจำนวนคนเมียนมาที่เดินทางเข้า และอาศัยอยู่ในไทยมีหลากหลาย จำนวนคนเมียนมาในไทยจากแต่ละแหล่งจึงไม่แน่นอน มีตั้งแต่ 4.7-11 ล้านคน
เป็นอย่างนั้นเพราะแต่ละหน่วยงานขาดการบูรณาการข้อมูลระหว่างกัน อีกทั้งการหลบหนีเข้าเมืองที่ทำให้การคำนวณมีการคลาดเคลื่อน ที่หน่วยงานต่าง ๆ ทำได้เพียงคาดคะเน และทำให้ผลลัพธ์มีความผันผวนสูง
แต่จากทุกแหล่งชี้ตรงกันว่า คนเมียนมาในไทยมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ พื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่ชายแดน
ตั้งแต่ปี 2562-2568 พบว่า ในพื้นที่เศรษฐกิจมีคนเมียนมาเพิ่มขึ้น 85% ส่วนในพื้นที่ชายแดนมากขึ้นกว่า 100% การเพิ่มขึ้นถูกกระตุ้นด้วย 2 ปัจจัยคือ สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา และการผ่อนปรนด้านกฎหมายจากฝั่งไทย
จำนวนแรงงานสัญชาติเมียนมาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในไทยอย่างเป็นทางการก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านคนในปี 2562 เป็น 2.2 ล้านคนในปี 2568 (เทียบเดือนกุมภาพันธ์) ส่วนแรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานก็เพิ่มมากขึ้นจาก 1.7 แสนคนในปี 2562 เป็น 3.8 แสนคนในปี 2568
คนเมียนมาในไทยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะด้านการศึกษา แรงงาน และอื่น ๆ ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการแสดงให้เห็นว่า จำนวนนักเรียนเมียนมาระดับชั้น อนุบาล 1 - มัธยมศึกษาที่ปี 6 เผยว่าปี 2562 มีจำนวน 4.9 หมื่นคน และปี 2567 มีจำนวน 7.9 หมื่นคน
การชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของคนเมียนมาในไทย ไม่ต้องการสร้างความตื่นตระหนก หวาดกลัว ระแวงต่อผู้อ่านแต่อย่างใด อย่างที่กล่าวไป การไม่รู้ข้อมูลคือสาเหตุหนึ่งของความกลัว เราจึงอยากให้ข้อมูลทุกท่านว่า คนเมียนมาเข้ามาในไทย มาทำอะไร และสร้างคุณ-โทษอย่างไร ไม่ใช่ชักนำให้รัก แต่เพื่อให้พิจารณาได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนขึ้น
รายงานชี้ว่า แรงงานชาวเมียนมามีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคส่วนที่คนไทยไม่นิยมทำ อาทิ เกษตรกรรม ประมง ก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต เพราะใช้แรงงานหนักและค่าติบแทนต่ำ การเข้ามาของแรงงานเมียนมาจึงเข้ามาในลักษณะ “เสริม” มากกว่า “แย่ง”
ใช้งานหนัก ค่าแรงต่ำ ไม่ว่าสัญชาติไหนก็คงไม่อยากทำ แต่เพราะคนเมียนมามีทางเลือกน้อยกว่า โดยเฉพาะหากไม่มีใบอนุญาตในการทำงาน การก้มหน้าทำงานที่คนไทยไม่อยากทำก็เป็นตัวเลือกเดียว อย่างไรก็ตาม พวกเขาถือเป็นตัวช่วยประเทศไทยที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ที่การเติบโตของผลิตภาพชะลอตัวและพึ่งพาแรงงานต้นทุนต่ำมาก ข้อมูลปี 2562 ชี้ว่า แรงงานไทยกว่า 10% คือผู้ย้ายถิ่น และช่วยสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมกว่า 6.6%
แม้จะมีการโต้แย้งว่า ผู้โยกย้ายถิ่นเหล่านี้ “เอาเปรียบ” ด้วยการอาศัยอยู่ในประเทศโดยไม่จ่ายภาษี แต่รายงานชี้ว่า แรงงานมีส่วนช่วยจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านกรใช้จ่ายในชีวิจประจำวัน คนเมียนมายังเข้ามาเพิ่มอุปสงค์โดยรวม ขยายการบริโภคในระดับครัวเรือน ทำให้เกิดการขยายกิจการและฐานการผลิต และบางครั้งก็เข้ามาเป็นผู้ประกอบการเองขนาดเล็ก
และคนเมียนมาจำนวนไม่น้อยก็ชำระภาษีเงินได้ มีเงินสมทบกองทุนประกันสังคม แต่ยังขาดการประเมินด้านการคลังอย่างเป็นระบบ
อีกสิ่งที่ผู้โยกย้ายถิ่นชาวเมียนมาเข้ามาทำในประเทศไทยคือ การชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนยิ่งขึ้น (เช่นเดียวกับคนกลุ่มเปราะบางกลุ่มอื่น ที่จะได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำในสังคมก่อนและหนักกว่า) คนเมียนมาในไทยประสบปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณะ อย่างบริการทางสุขภาพ การขนส่ง ที่อยู่อาศัย หรือการศึกษา
เด็กในค่ายผู้ลี้ภัยมักจะได้รับการศึกษาจากองค์กรเอกชนหรืออาสาสมัคร ภายใต้หลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ สอนโดยผู้ลี้ภัยด้วยกันเอง ขาดแคลนอุปกรณ์ และมีคุณภาพการศึกษาไม่สม่ำเสมอ เรียนจบแล้วประกาศนียบัตรก็ไม่ได้รับการรับรอง การจะหางานทำต่อนอกค่ายจึงเป็นเรื่องยาก
ส่วนนอกค่าย แม้ไทยจะมีความพยายามในการมอบการศึกษาที่เท่าเทียมให้กับทุกคน แต่ยังมีอุปสรรคด้านภาษา ขาดเอกสาร และทัศนคติของผู้ให้การศึกษาบางกลุ่ม เด็กผู้ลี้ภัยที่ได้เข้าเรียนในระบบการสึกษาของไทยจึงนับเป็นส่วนน้อยเท่านั้น
อีกทั้งเมื่อปี 2567 ไทยยังมีคำสั่งปิดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กชาวเมียนมาในไทย 6 แห่งด้วยเหตุผลว่า เป็นการจัดการเรียนการสอนโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้ภาษาเมียนมา สะท้อนความกลัวของคนไทยต่อคนอพยพโยกย้ายถิ่นฐานอันดับต้น ๆ นั่นคือ “การรวมกลุ่ม”
รายงานฉบับนี้สำรวจความเห็นจากคนสัญชาติไทย 403 คน เป็นเพศหญิง 55.3% และชาย 44.7% ระหว่าง 10-80 ปี อายุเฉลี่ยน 47.8 ปี ศาสนาพุทธ 98% ผลสำรวจชี้ว่า ทัศนคติเบื้องตนของคนไทยโดยทั่วไปต่อผู้ย้ายถิ่นชาวเมียนมาเป็นลบ โดยเฉพาะต่อกลุ่มที่ไม่มีเอสาร คนไทยมองว่า พวกเขาเข้ามาแย่งงาน เป็นภัยคุกคมด้านความมั่นคง และเป็นพาหะนำโรค
อะไรทำให้พวกเขามีทัศนคติเช่นที่ว่า? กว่า 57.8% ชี้ว่า รับข้อมูลเกี่ยกับผู้อพยพจากอินเตอร์เน็ต ตามมาด้วยประสบการณ์ตรง 41.9% และโทรทัศน์ 41.4% สื่อสิ่งพิมพ์ 41.2% คำบอกเล่า 25.1% ตามมาด้วยข้อมูลจากรัฐ วิทยุ และ NGOs น้อยลงไปตามลำดับ
จะเห็นได้ว่าคนส่วนมากรับรู้เรื่องราวของผู้ย้ายถิ่นชาวเมียนมาจากสื่ออินเทอร์เน็ตมากกว่าประสบการณ์ตรงเสียอีก มากกว่าครึ่งชี้ว่าไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนข้ามชาติ ส่วนที่ปฏิสัมพันธ์ส่วนใหญ่กล่าวว่า นาน ๆ ครั้ง มีเพียง 17% เท่านั้นที่ระบุว่า มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ย้ายถิ่นฐานชาวเมียนมาบ่อยครั้ง
จึงไม่ผิดถ้ากล่าวว่าสื่อบนอินเทอร์เน็ตคือสิ่งหล่อหลอมทัศนคติของคนต่อผู้ย้ายถิ่น คณะผู้จัดทำจึงมีการให้ข้อเท็จจริง 8 ข้อ ต่อกลุ่มทำแบบสำรวจ ใน 8 ข้อนั้นคนไทยสวนใหญ่ทราบเพียง 2 ข้อคือ คนเมียนมามาไทยมากขึ้นเพราะสถานการณ์การเมืองในประเทศ และชาวเมียนมาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรอนุญาตทำงาน
แต่ส่วนมากไม่ทราบสถิติผู้ย้ายถิ่น ไม่ทราบว่าส่วนใหญ่มีเอกสารถูกกฎหมาย ส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่มีเอกสาร นอกจากนี้ ยังไม่ทราบด้วยว่า แรงงานส่วนใหญ่เข้ามาพำนักระยะสั้น และมีจำนวนน้อยที่เข้ามาใช้บริการสุขภาพ รวมถึงยังไม่ทราบว่า ผู้ย้ายถิ่นชาวเมียนมาสามารถเข้าถึงระบบประกันสุขภาพของเอกชนได้
การรับทราบข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้เอง เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลให้คนไทยมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้ย้ายถิ่นชาวเมียนมา
หลังรับทราบข้อมูลมกขึ้น ทัศนคติของคนไทยที่มีต่อคนย้ายถิ่นชาวเมียนมาดีขึ้น โดยเฉพาะทัศนคติด้านความปลอดภัยและเศรษกิจ แต่ทัศนคติด้านลบด้านการเป็นพาหะนำโรคและทรัพยากรบางส่วนกลับแย่ลง
อย่างไรก็ตามความเห็นคนไทยหลายด้าน อาทิ การให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยน และเศรษฐกิจมีความซับซ้อน โดยมากทัศนคติต่อผู้ย้ายถิ่นที่ไม่มีเอกสารเป็นไปในทางลบมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
IOM ชี้ว่า กว่า 60% ของคนเมียนมาที่เดินทางเข้าไทยพำนักแบบไม่มีใบอนุญาต ทั้งที่การอยู่แบบไม่ถูกกฎหมายต้องเผชิญทัศนคติด้านลบจากคนไทยมากกว่า ยังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อความรุนแรง ถูกเอาเปรียบ และละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานมากกว่า แรงงานข้ามชาติจึงตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์หรือการใช้บริการนายหน้าเถื่อนที่เรียกค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวถึงปัญหาการขึ้นทะเบียนแรงงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายบนเวทีเปิดตัว แบ่งออกได้เป็น 3 เหตุผลคือ ความปลอดภัย มีเสียงสะท้อนว่า แรงงานจำนวนหนึ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะไปการติดต่อเจ้าหน้าที่เจ้าสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา เนื่องด้วยนโยบายบังคับเกณฑ์ทหาร
ต่อมาคือกระบวนการจดทะเบียนของไทยที่มีความซับซ้อน ทั้งต่อนายจ้างเอง และแรงงาน ผู้เชี่ยวชาญและผู้ร่วมงานสะท้อนว่า ควรทำระบบจดทะเบียนให้มีความชัดเจน ง่าย และปลอดภัยขึ้น เพราะการจดทะเบียนแรงงานอย่างถูกกฎหมายได้ จะเป็นประโยชน์จ่อประเทศไทยเอง
การที่ระบบจดทะเบียนมีความซับซ้อน ทำให้มีหน่วยงานเอกชน หรือ เอเจนซี เข้ามาเป็นตัวกลางระหว่างภาครัฐ และนายจ้าง-แรงงาน ทำให้ค่าธรรมเนียมอย่างเป็นทางการและราคาที่ต้องจ่ายจริงมีความต่างกันมาก นายจ้างมักต้องพึ่งพาเอเจนซีช่วย
นายจ้างและ NGOs หลายคนสะท้อนว่า การไม่ใช้เอเจนซีทำให้กระบวนการมีความยากและล่าช้ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ นั่นทำให้ค่าธรรมเนียมทำเอกสารสูงจนหลายคนไม่สามารถจ่ายได้
ในงานเปิดตัวรายงานครั้งนี้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เข้าร่วมเป็นประธานและชี้ถึงความสำคัญของการศึกษาผู้โยกย้ายถิ่นฐานในไทย
“ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของมนุษย์ เพราะมนุษย์คือคนที่อาศัยในผืนแผ่นดินนี้ คือคนที่รับผลกระทบจากความรุนแรงที่ผ่านมา ถ้าเราบริหารเรื่องความมั่นคงของมนุษย์ได้ไม่ดี มันก็จะนำไปสู่เรื่องอื่น ๆ อย่าง สแกมเซ็นเตอร์ หรือการค้ามนุษย์ ประเทศไทยไม่มีนโยบายที่ชัดเจนว่าเราจะจัดการปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้อย่างไร” พล.อ.ทรงวิทย์กล่าว