ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้แทรกซึมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุกมิติในชีวิต ตั้งแต่การอำนวยความสะดวกในระดับปัจเจกไปจนถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ดูเหมือนไม่มีขีดจำกัด แต่อะไรจะเกิดขึ้นหากพลังของ AI ไม่ได้หยุดอยู่แค่การคัดกรองและวิเคราะห์ข้อมูลหรือแม้กระทั่งวางแผน แต่สามารถทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ที่ช่วยให้แบรนด์และธุรกิจเข้าถึงมนุษย์ได้ง่ายขึ้น ใกล้ขึ้น ลึกขึ้น และกว้างขึ้น และชวนให้คนค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้นิสัย กิจวัตร หรือพฤติกรรมที่รักษ์โลกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แก่นแท้ของการเปลี่ยนแปลงทางนิสัย พฤติกรรม หรือกิจวัตรของมนุษย์ คือการที่กระบวนการคิดและการเลือกของเรามักได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ยากจะจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ความเชื่อที่สะสมมาแต่เดิม หรือแม้แต่แรงผลักบางอย่างที่เราไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลตรงไปตรงมา ดังนั้นการที่พฤติกรรมของใครบางคนจะถูกเปลี่ยนแปลงได้ จึงไม่สามารถทำเพียงแค่ “บอกให้รู้” ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ แต่ต้องอาศัยวิธีการที่เข้าไปปรับมุมมองหรือกระตุ้นความรู้สึกและแรงจูงใจที่ฝังลึกลงไป
ในอดีต AI มักถูกจำกัดบทบาทไว้เพียงการวิเคราะห์ข้อมูลหรือคาดการณ์แนวโน้ม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีนี้ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนสามารถรับสัญญาณของพฤติกรรม ความชอบ และการตอบสนองทางอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างละเอียดมากขึ้น เมื่อ AI ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกแบบทางจิตวิทยา มันจึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือประมวลผลอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ตัวกลาง” หรือ “catalyst” ที่นำความซับซ้อนของมนุษย์มาแปลเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์หรือประสบการณ์ที่สามารถเข้าถึงใจคนได้มากกว่าเดิม เช่น การใช้ AI เพื่อกระตุ้นให้คนเปลี่ยนหรือริเริ่มพฤติกรรมใหม่ ไม่ได้หมายความว่าเทคโนโลยีสามารถเข้าใจหรือชี้นำจิตใจมนุษย์ได้โดยตรง หากแต่ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลัง ผ่านศักยภาพด้านข้อมูลและ pattern recognition ที่ช่วยเสริมพลังให้กลยุทธ์การสื่อสารเรื่องความยั่งยืนกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
AI จึงไม่ใช่เครื่องมือที่ “อ่านใจคนได้” อย่างที่หลายคนอาจเข้าใจผิด แต่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้แบรนด์ถอดรหัสและแปลความซับซ้อนของมนุษย์ให้ง่ายขึ้น ผ่านการรับสัญญาณพฤติกรรม ความชอบ หรือบริบทในการตัดสินใจ ซึ่งเมื่อผสานเข้ากับการออกแบบทางจิตวิทยาและกลยุทธ์ที่เหมาะสม ก็อาจช่วยให้เกิดประสบการณ์ที่เข้าถึงใจมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
เมื่อโลกกำลังเผชิญหน้ากับภาวะวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมที่ทวีความซับซ้อนขึ้นทุกขณะ เราต่างตระหนักดีว่ารากฐานของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่ยั่งยืนนั้นกลับเริ่มต้นจากหน่วยที่เล็กที่สุดอย่างระดับปัจเจกบุคคล แต่การจะทำให้ใครสักคนหันมาใส่ใจโลกมากขึ้น หรือเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ ให้กลายเป็นกิจวัตรที่ยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในยุคที่ความสนใจของผู้คนถูกแย่งชิงจากสิ่งเร้ามากมายในทุกช่องทาง
ในบทความนี้ เราจะชวนมาถอดรหัสกรณีศึกษาจากแบรนด์ระดับโลกที่นำ AI มาเป็น “ตัวกลาง” ในการเข้าถึงผู้คน และริเริ่มให้เกิดความยั่งยืนในระดับพฤติกรรม แม้ว่าแบรนด์จะไม่ได้ระบุโดยตรงว่าตั้งใจออกแบบแคมเปญด้วยกรอบแนวคิดทางจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์เพื่อเข้าถึงผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อวิเคราะห์จากกลยุทธ์และรูปแบบการนำเสนอก็สะท้อนให้เห็นถึงหลักการที่อยู่เบื้องหลังอย่าง
ซึ่งเป็นหลักการที่อธิบายว่าการจัดวางรูปแบบของทางเลือกสามารถชี้นำหรือเอื้อให้เกิดการตัดสินใจบางอย่างได้ โดยไม่จำเป็นต้องบังคับ แต่อย่างไรก็ตาม แก่นของการออกแบบประสบการณ์ที่เอื้อต่อการเปลี่ยนพฤติกรรม คือการใช้ AI เป็นเพียง “ตัวกลาง” ที่ช่วยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น และเชื่อมโยงกับผู้คนได้ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม คำถามสำคัญของแบรนด์จึงอาจไม่ใช่แค่ “จะทำยังไงให้คนรักษ์โลก” แต่คือ “จะใช้ AI จุดประกายหรือริเริ่มนิสัยใหม่ที่ยั่งยืนได้อย่างไร” โดยไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ากำลังถูกชักนำหรือถูกบังคับ
แคมเปญ: “Meal Reveal” (Ogilvy UK, 2024)
“Meal Reveal” เป็นแคมเปญจาก Hellmann’s ประเทศอังกฤษ แบรนด์ในเครือ Unilever จับมือกับ Ogilvy UK และ Google Cloud สร้างประสบการณ์ใหม่ในช่วง UK Food Waste Action Week 2024
กล่าวคือ Hellmann’s เลือกใช้ AI เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผ่านโครงสร้างของทางเลือก โดยออกแบบให้การลด food waste เป็นเรื่อง “ง่าย สนุก และคุ้มค่า” พร้อมทั้งแปลประเด็นความยั่งยืนที่อาจดูไกลตัวให้กลายเป็นประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ในชีวิตจริง ผ่านการเชื่อมโยงกับแรงจูงใจเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันที่ผู้บริโภคไม่รู้สึกว่ากำลังถูกบังคับ แต่ค่อย ๆ ปรับและเคลื่อนนิสัยไปสู่ความยั่งยืนแบบไม่รู้ตัวและไม่รู้สึกว่าต้องพยายามมากเกินไปกรณีศึกษานี้จึงสามารถสรุปได้ว่า AI สามารถทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ที่ทรงพลังในการ "สตาร์ต" นิสัยเพื่อความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่รู้สึกฝืนหรือห่างไกลจากชีวิตประจำวัน
จากกรณีศึกษา เราได้เห็นว่า AI เมื่อทำงานร่วมกับการออกแบบทางจิตวิทยาอย่างแยบคาย สามารถทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" ที่ช่วยให้แบรนด์พาความยั่งยืนเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น ใกล้ขึ้น ลึกขึ้น และกว้างขึ้น และช่วย “แปลความยั่งยืน” ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่สัมผัสได้จริง
ต่อไปนี้คือ 3 แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่แบรนด์และธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้จากการเรียนรู้กรณีศึกษาข้างต้น
Hellmann’s ใช้ AI แนะนำเมนูจากวัตถุดิบเหลือในตู้เย็น เปลี่ยนเรื่องการลดขยะอาหาร ที่อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องซีเรียสหรือยุ่งยาก ให้กลายเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องเสียสละแต่ให้ประโยชน์ในบริบทชีวิตของแต่ละคน โดยแบรนด์และธุรกิจสามารถประยุกต์ใช้ผ่านการมองหาวิธีเปลี่ยนมุมมองที่ผู้บริโภคมีต่อความยั่งยืน เช่น จากการบังคับใช้หรืออุดมการณ์ มาเป็นทางเลือกที่ง่ายและมีความสุขร่วมด้วย
แบรนด์ไม่ได้เปลี่ยนทางเลือกเดิมของผู้บริโภค แต่จัดวางทางเลือกใหม่ให้น่าสนใจกว่า เช่น เมนูที่ดูดี ทำง่าย และช่วยลด food waste ได้ในเวลาเดียวกัน เป็นการออกแบบที่ลดแรงเสียดทานทางพฤติกรรม โดยไม่สร้างแรงต้านหรือความรู้สึกว่าถูกบังคับ โดยแบรนด์และธุรกิจสามารถประยุกต์ใช้ได้ผ่านการออกแบบประสบการณ์ใหม่ที่ไม่ท้าทายผู้บริโภคเกินจำเป็น แต่ให้ความรู้สึกว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเดิมในทุกด้าน เช่น ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้ทางเลือกเพื่อความยั่งยืนสะดวกกว่าหรือเร็วกว่าเดิม
การใช้ AI ช่วยแนะนำเมนูจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในตู้เย็นของแต่ละคน คือการ personalize ทางเลือกให้สอดคล้องกับบริบทของชีวิตจริง ไม่เพียงแค่ทำให้ความยั่งยืนดูเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ยังสะท้อนว่าทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ “เหมาะกับฉัน” โดยไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ความรู้สึกว่าพฤติกรรมใหม่นั้นใช่สำหรับตนเอง คือ แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้คนเลือกทำอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว โดยแบรนด์และธุรกิจสามารถประยุกต์ใช้ได้ผ่านการพัฒนาเครื่องมือหรือคอนเทนต์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเห็น “ความยั่งยืนในแบบของตัวเอง” เช่น ระบบเลือกสินค้า/บริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์, การปรับ UX ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมเดิม แทนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ทั้งหมด
สรุป: AI ไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง หากแต่เป็น "ตัวกลาง" ที่ช่วยให้แบรนด์และธุรกิจสามารถเข้าถึงคนได้อย่างลึกซึ้ง ขยายผลได้ในวงกว้าง และลดข้อจำกัดด้านทรัพยากร โดยเฉพาะสำหรับแบรนด์ขนาดเล็กที่อาจไม่มีงบประมาณด้านในการโฆษณาหรือซื้อสื่อมากนัก การใช้ AI เพื่อเข้าถึงคนไม่เพียงเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ แต่ยังเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้นะระดับการลงมือทำ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า AI จะก้าวหน้าเพียงใด จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงยังคงต้องอาศัยความคิดสร้างสรรคและวิสัยทัศน์จากคนในองค์กร เพราะเมื่อ “ความเป็นมนุษย์” ผสานกับ “ความแม่นยำของเทคโนโลยี” เราจะสามารถออกแบบประสบการณ์ที่ไม่เพียงแค่สื่อสารเรื่องความยั่งยืน แต่สามารถเข้าถึงพฤติกรรมของผู้คนได้อย่างแท้จริงAI อาจไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง แต่สามารถเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์นำเสนอเรื่องความยั่งยืนให้เข้าถึงได้ “ง่ายขึ้น ใกล้ขึ้น และกว้างขึ้น” โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่มีงบมากนัก แต่ต้องสร้างแรงกระเพื่อมด้านความยั่งยืนให้กว้างขึ้นกว่าที่เคย เพราะท้ายที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงคนให้รักษ์โลกอย่างยั่นยืนไม่ได้เกิดจากการ “บอกให้ทำ” แต่คือการออกแบบให้ “อยากทำต่อ” จนเป็นกิจวัตรต่อไป
แหล่งข้อมูล
Sustainability & Social Impact