นักวิจัยเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลเสียต่อการบิน โดยพวกเขาอธิบายว่า ภัยจากสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลกระทบต่อสายการบิน โดยเฉพาะจากปรากฏการณ์ลมกระโชกแรงเฉียบพลันจากพายุฝนฟ้าคะนอง (thunderstorm microbursts) ระหว่างที่เครื่องบินกำลังขึ้นหรือลงจอด
ข้อมูลดังกล่าวมาจากบทความ Freak wind gusts made worse by climate change threaten airline passenger safety หรือ ลมกระโชกแรงที่รุนแรงผิดปกติซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคุกคามความปลอดภัยของผู้โดยสารสายการบิน โดยศาสตราจารย์แลนซ์ เอ็ม. เลสลี และมิลตัน สเปียร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ (University of Technology, Sydney) เผยแพร่บนเว็บไซต์ The Conversation
ผู้เขียนกล่าวว่า งานวิจัยฉบับนี้เป็นหนึ่งในงานแรก ๆ ที่กล่าวถึงอันตรายจากลมกระโชกแรงระหว่างการขึ้นและลงจอดของเครื่องบิน ต่างจากงานวิจัยส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ที่มุ่งเน้นวิเคราะห์อันตรายระหว่างที่เครื่องบินบินอยู่ในระดับสูง เช่น ความปั่นป่วนในอากาศแจ้ง (clear air turbulence) และความไม่เสถียรของเจ็ตสตรีม (jet stream instability)
หากย้อนดูข่าวสารด้านการบินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะพบว่า มีกรณีอุบัติเหตุหรือเครื่องบินได้รับผลกระทบจากความปั่นป่วนทางสภาพอากาศหลายครั้ง อาทิ เครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสายการบินแควนตัส (Qantas) เผชิญหลุมอากาศขนาดใหญ่เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ส่งผลให้ลูกเรือและผู้โดยสารบางรายได้รับบาดเจ็บ
ไม่ใช่แค่กรณีนี้ แต่ยังมีเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นหลายครั้ง นอกจากหลุมอากาศแล้ว ยังมีพายุฝนฟ้าคะนองที่มีลมกระโชกแรง เช่น ลมยกตัวขึ้นอย่างรุนแรง (violent updrafts) และลมกระโชกลง (downbursts) ซึ่งเป็นอันตรายต่อเครื่องบิน โดยเฉพาะลมกระโชกลงที่อาจสร้างอันตรายอย่างร้ายแรงต่อการบิน
นักวิจัยทั้งสองเผยว่า พวกเขาใช้เทคนิคแมชชีนเลิร์นนิง (machine learning) ในการศึกษา และพบว่า ภาวะโลกร้อนคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความปั่นป่วนในอากาศรุนแรงขึ้น โดยมีความเชื่อมโยงระหว่าง “ลมกระโชกแรงผิดปกติ” (freak wind gusts) กับภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนเพิ่มปริมาณไอน้ำในชั้นบรรยากาศตอนล่าง โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้น 1°C จะทำให้อากาศสามารถเก็บกักไอน้ำได้เพิ่มขึ้นประมาณ 7% ซึ่งความชื้นส่วนใหญ่มาจากทะเลที่อุ่นขึ้น ไอน้ำระเหยจากผิวน้ำทะเลและเข้าไปหล่อเลี้ยงก่อตัวเป็นเมฆ
ความร้อนและไอน้ำที่เพิ่มขึ้นทำให้พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงขึ้น จึงคาดว่า กิจกรรมของพายุฝนฟ้าคะนองจะเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของออสเตรเลีย สำหรับเครื่องบิน ความเสี่ยงหลักของพายุฝนฟ้าคะนองอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของความแรงและทิศทางของลมอย่างฉับพลันในระดับความสูงต่ำ
การศึกษาพบว่า ความร้อนและความชื้นเป็นสาเหตุหลักของการเกิด “ลมกระโชกลง” (downbursts) ซึ่งเป็นลมที่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในอากาศ แม้ลมกระโชกลงจะมีขนาดเล็กเพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะสามารถเปลี่ยนความเร็วและทิศทางของลมได้อย่างกะทันหัน ก่อให้เกิดความปั่นป่วนที่ทำให้เครื่องบินโยกไปในทุกทิศทาง ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง
ตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤศจิกายน 2016 สนามบินบริสเบนบันทึกลมกระโชกลงแรงถึง 157 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เครื่องบิน 3 ลำที่อยู่บนลานบินได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ระหว่างการขึ้นหรือลงจอด เครื่องบินที่เจอลมลักษณะนี้อาจสูญเสียหรือเพิ่มระดับความสูงอย่างไม่คาดคิด ซึ่งในอดีตเคยทำให้เกิดอุบัติเหตุทางอากาศหลายครั้ง และสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้นในภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากทดลองโมเดลแมชชีนเลิร์นนิง 8 แบบ งานวิจัยเปิดเผยว่า ความร้อนและความชื้นที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของออสเตรเลียทำให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเกิดลมกระโชกลงบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
ในการศึกษากรณีลมกระโชกลงจากแนวพายุในปี 2018 พบว่ามีลมกระโชกแรงบนพื้นผิวดินในสนามบินระดับภูมิภาค 6 แห่งในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ได้แก่ Bourke, Walgett, Coonamble, Moree, Narrabri และ Gunnedah
สนามบินภูมิภาคในออสเตรเลียและทั่วโลกมักใช้เครื่องบินขนาดเล็ก เครื่องบินที่มีที่นั่งระหว่าง 4–50 ที่นั่งมีความเสี่ยงต่อแรงลมกระโชกลงจากพายุฝนฟ้าคะนองมากกว่า
บทความชิ้นนี้จึงเสนอว่า หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอากาศและสายการบินในออสเตรเลียตะวันออกควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษระหว่างการขึ้นและลงจอดในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น
เมื่อความชื้นเป็นสาเหตุ ช่วงเดือนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดของออสเตรเลียคือช่วงเดือนตุลาคมถึงมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูอากาศอบอุ่น เครื่องบินที่ขึ้นและลงที่สนามบินซิดนีย์จึงมีความเสี่ยงมากที่สุด
ที่มา: The Conversation