Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
คนหูหนวกจะอยู่อย่างไร เมื่อ TTRS ปิดบริการเพราะขาดงบจากกสทช.
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

คนหูหนวกจะอยู่อย่างไร เมื่อ TTRS ปิดบริการเพราะขาดงบจากกสทช.

24 มิ.ย. 68
10:54 น.
แชร์

คงไม่ผิดจากความจริงไปนัก หากจะพูดว่าโลกปิดประตูใส่คนหูหนวก เมื่อศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ TTRS จำเป็นต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 เนื่องจากไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก กสทช. ทำให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายไว้ด้วยตนเองมานานถึง 2 ปี

“TTRS คือเสียงของเรา” คือข้อความบนป้ายประท้วงของกลุ่มผู้พิการด้านการได้ยินเมื่อปีก่อน เมื่อ TTRS จำเป็นต้องปิดให้บริการครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2566 ด้วยสาเหตุเดียวกัน คือ ขาดงบประมาณสนับสนุนจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.

แม้ว่าการปิดให้บริการและการประท้วงเรียกร้องในปี 2566 จะทำให้ TTRS ได้รับงบประมาณย้อนหลังสำหรับปี 2565–2566 เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 แต่ตอนนี้ เกือบจะครบรอบหนึ่งปีจากการได้รับงบประมาณครั้งล่าสุด ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน TTRS ยังคงต้องแบกรับไว้ด้วยตนเอง

“มูลนิธิไม่มีแล้ว เงินหมดแล้ว” วันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทยกล่าว

TTRS คืออะไร

ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ TTRS คือเสียงของผู้พิการทางการได้ยิน และยังรวมถึงผู้ไร้กล่องเสียงบางรายที่พึ่งพาบริการล่ามภาษามือในการถ่ายทอด “ภาษามือไทย” ซึ่งเป็นภาษาแม่ของผู้พิการทางการได้ยิน ให้กับคนทั่วไปที่ไม่รู้ภาษามือได้เข้าใจ

วันทนีย์เล่าว่า TTRS เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2555 หลังโครงการนำร่อง 1 ปีในปี 2554 ซึ่งทำงานร่วมกับ กสทช. มาตั้งแต่เริ่มต้น หลังจากการร่วมจัดทำรายงาน “โทรคมนาคมที่เข้าถึงได้โดยคนพิการ” ในปี 2552

“กสทช. สมัยนั้นให้ความสนใจรายงานนี้ และเห็นว่าคนหูหนวกคือกลุ่มที่ลำบากในการเข้าถึงโทรคมนาคม ประเทศที่มีกำลังพอก็จะตั้งศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารขึ้น … ส่วนของไทยไม่ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าต้องมีบริการนี้ [บริการถ่ายทอดการสื่อสาร] แต่ใน พ.ร.บ. โทรคมนาคม และ พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มาตรา 20(6) ระบุไว้ว่า คนพิการต้องได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร บริการโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก” วันทนีย์กล่าว

ในระยะแรกมีการให้บริการผ่านเว็บไซต์ ttrs.or.th ผ่านวิดีโอคอล แช็ต และตู้โทรศัพท์สาธารณะของ TTRS ที่มักตั้งอยู่ในโรงเรียนโสตศึกษา สถานที่ทำงานที่มีคนหูหนวก และสถานที่อื่น ๆ ที่มีการร้องขอให้ติดตั้ง ต่อมามีการเพิ่มบริการผ่านแอปพลิเคชัน TTRS Message เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของคนหูหนวกที่ต้องส่งข้อความผ่าน SMS หรือ MMS ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง

TTRS เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2555 โดยในขณะนั้นมีล่ามภาษามือให้บริการเพียง 8 คน รับสายราว 45,000 สายต่อปี แต่การให้บริการได้ขยายตัวตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของ TTRS และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทำให้มีผู้ใช้บริการรายปีถึง 450,000 สาย และมีล่ามเพิ่มขึ้นเป็น 38 คนในปี 2567 จากสมาชิกราว 50,000 คน ซึ่งกำลังขาดการติดต่อกับโลกภายนอก

คนหูหนวกใช้ TTRS อย่างไรบ้าง

ข้อจำกัดของผู้พิการทางการได้ยินหรือคนหูหนวก คืออัตราการรู้หนังสือที่ต่ำกว่าคนทั่วไป เนื่องจากการไม่ได้ยินเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเรียนรู้ แม้คนหูหนวกหลายคนสามารถอ่านหนังสือได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะในการสื่อสารออกไป ซึ่งมักถูกมองว่าสั้น ห้วน และใช้ไวยากรณ์ผิดแปลก หลายครั้งจึงนำไปสู่ความเข้าใจผิดระหว่างคนหูหนวก-หูตึง กับคนทั่วไป

วิธีการให้บริการของ TTRS คือ คนหูหนวกสามารถโทรวิดีโอหาทีมงานล่ามภาษามือของ TTRS ผ่านช่องทางต่าง ๆ สื่อสารกันด้วยภาษามือ แล้วล่ามจะโทรหาคนที่ผู้ใช้ต้องการคุยด้วยและทำหน้าที่ถ่ายทอดเสียงให้

คุณวันทนีย์กล่าวว่า การใช้งาน TTRS ของผู้พิการทางการได้ยินมีตั้งแต่การพูดคุยกับแพทย์เมื่อต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล การสมัครงาน ไปจนถึงการสื่อสารในที่ทำงาน

ตัวอย่างจากการทำงานจริง

คุณวันทนีย์ยกตัวอย่างการใช้งาน TTRS สองกรณี ได้แก่:

คนหูหนวกที่รับจ้างขับแกร็บ ใช้บริการ TTRS เพื่อติดต่อกับลูกค้า เช่น ถามทางหรือชี้แจงเมื่อเกิดปัญหา ทำให้การสื่อสารง่ายและรวดเร็วขึ้น การมี TTRS เข้ามาเติมเต็มจึงทำให้อาชีพนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน

บริษัทเครื่องประดับ Pandora ได้ติดตั้งตู้โทรศัพท์ของ TTRS ภายในบริษัท เพื่อให้พนักงานหูหนวกสามารถวิดีโอคอลเข้าหาล่าม เพื่อใช้สื่อสารกับหัวหน้างาน รับคำสั่ง และทำงานต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีหลายบริษัทที่ร้องขอให้ TTRS ติดตั้งตู้โทรศัพท์ในที่ทำงาน หรือขอให้มีการอบรมพนักงานให้รู้จักการใช้แอปพลิเคชัน TTRS Messenger เพื่อเพิ่มการเข้าถึง

อีกตัวอย่างหนึ่งจากคุณชนัญชิดา ชีพเสรี และคุณอัฑฒกาฐ์ เที่ยงปรีชารักษ์ หัวหน้ากลุ่มบริการถ่ายทอดการสื่อสาร คือ เด็กนักเรียนหูหนวกใช้บริการ TTRS ในการคุยกับผู้ปกครอง เพราะผู้ปกครองจำนวนมากไม่รู้ภาษามือ ทำให้การสื่อสารระหว่างพ่อแม่-ลูกเป็นเรื่องลำบาก แต่เมื่อมีล่ามเป็นสื่อกลาง เด็กก็สามารถพูดคุยด้วยภาษาที่พ่อแม่เข้าใจ

“ในกรณีของเด็กนั้นเห็นชัดมาก เราตั้งตู้โทรศัพท์ไว้ที่โรงเรียนโสตศึกษา 21 แห่งทั่วประเทศ บางแห่งต้องมีถึง 2 ตู้ เพราะไม่พอ เด็ก ๆ ต่อคิวกันยาวมาก เพราะได้คุยกับผู้ปกครอง ปกติเขาคุยกันแค่ ‘พรุ่งนี้มารับนะ’ ตอนนี้ได้เปิดใจคุยกับแม่กับพ่อได้”

“เมื่อก่อนพ่อแม่จะส่งลูกมาที่โรงเรียนเพื่อฝากครูช่วยดูแล แต่พอมีตู้ TTRS เด็กเริ่มใช้เป็น ก็เริ่มคุยกับพ่อแม่ได้มากขึ้น พ่อแม่เริ่มสอนลูกเองได้ เด็ก ๆ ก็เริ่มถามพ่อแม่ว่าไปเที่ยวได้ไหม มีแฟนได้ไหม ซึ่งทั้งหมดคุยผ่านล่าม มันเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวเลย แต่ตอนนี้พ่อแม่โทรหาลูกไม่ได้แล้ว ลูกก็โทรหาพ่อแม่ไม่ได้เลย” คุณขวัญกล่าวเสริม

คนหูหนวกกำลังถูกทอดทิ้ง

กมลทิพย์ ว่องธนบูรณ์ ผู้พิการด้านการได้ยินและเจ้าหน้าที่สมาชิกสัมพันธ์ที่ TTRS เล่าผ่านภาษามือถึงความยากลำบากเมื่อ TTRS หยุดให้บริการ

“คนหูหนวกเจอปัญหาเยอะเลยค่ะ เราสื่อสารกับใครก็ลำบาก เขียนสื่อสารก็มีปัญหา โดยเฉพาะไรเดอร์แกร็บ เวลาไปส่งของ หมุดไม่ตรงก็ต้องให้ล่ามช่วย บางคนเลยต้องไปขับวินมอเตอร์ไซค์แทน หรือบางคนไปหาหมอตอนฉุกเฉิน พูดคุยเชิงลึกไม่ได้เลย”

“บางคนไปสมัครงานก็สื่อสารไม่รู้เรื่อง บางคนอายจนไม่กล้าสมัคร ต้องตกงานก่อน เพราะไวยากรณ์ของคนหูหนวกไม่เหมือนคนทั่วไป เลยรอให้ TTRS เปิดก่อนแล้วค่อยไปสมัครใหม่”

คุณอัฑกาฐ์กล่าวถึงตอนที่ TTRS ปิดบริการครั้งแรกว่า

“แค่ 10 วัน ไรเดอร์บางคนไม่ออกไปทำงานเลย ไม่มีรายได้ ต้องอยู่บ้าน”

จากการเก็บข้อมูลของ TTRS ในปี 2565–2566 มีสมาชิกที่รับจ้างขับรถเดลิเวอรีราว 300–400 คน แต่ปีที่แล้วตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 1,000 คน ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญความลำบากอย่างมาก และยังไม่รู้ว่า TTRS จะกลับมาเมื่อใด

คุณขวัญกล่าวเสริมว่า ลักษณะภาษาไทยของคนหูหนวกที่ต่างจากคนทั่วไปอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ถ้าไม่มีล่าม

“การพิมพ์มักไม่เข้าใจกัน เพราะภาษาของคนหูหนวกมักจะห้วน คนหูดีก็อาจคิดว่าไรเดอร์ห้วนใส่หรือไม่สุภาพ บางทีถูกประเมินดาวน้อย หรือถูกบล็อก กรณีที่ลูกค้าลืมของ โทรมาแล้วสื่อสารไม่ได้เลย…”

เด็ก ๆ เองต้องอาศัยครูในโรงเรียนสื่อสารกับผู้ปกครอง ซึ่งเพิ่มภาระให้ครู และทำให้เด็กอึดอัดเพราะต้องพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป

แนวคิดการก่อตั้งและวงจรการรอคอยงบประมาณ

TTRS ใช้งบประมาณหลักจากกองทุน USO ของ กสทช. หรือ “กองทุนบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและเพื่อสังคม” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือขาดแคลนได้รับบริการอย่างเท่าเทียม โครงการนี้ถือเป็นพันธกิจสำคัญของ กสทช. ในการลดช่องว่างและสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการโทรคมนาคม โดยเฉพาะในกลุ่มคนพิการ

คุณวันทนีย์อธิบายว่า วิธีการจัดสรรงบประมาณของโครงการนี้คือการเปิดประชาพิจารณ์ และจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายในไทย ในอัตรา 2.5–2.75% ของรายได้รวม เพื่อนำเข้ากองทุน USO คิดเป็นเงินราว 4,000–5,000 ล้านบาทตาม “แผนฉบับที่ 2” (แผนแรกเคยจัดเก็บสูงถึง 4.5–4.75% คิดเป็นเงินราว 8,000 ล้านบาท) หน่วยงานที่ต้องการใช้งบจากกองทุนนี้จะต้องยื่นเรื่องเสนอขอใช้งบเป็นรายโครงการ

อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแผน TTRS ต้องเข้าสู่กระบวนการขออนุมัติใหม่อีกครั้ง จากแผนแรกที่ใช้ระหว่างปี 2555–2560 ต่อเนื่องมาสู่แผนฉบับที่ 2 ส่งผลให้ TTRS ขาดช่วงงบประมาณระหว่างรออนุมัติไปราว 1 ปีครึ่ง

เมื่อแผนฉบับที่ 2 สิ้นสุดในปี 2565 TTRS ต้องเข้าสู่กระบวนการ “รออนุมัติ” อีกครั้ง ซึ่งเป็นขั้นตอนตามระบบราชการไทย คุณวันทนีย์กล่าวว่า นับจากเริ่มกระบวนการรอการอนุมัติของแผนฉบับที่ 3 มาจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมาแล้วกว่า 2 ปี แต่กระบวนการยังไม่เสร็จสิ้น ในขณะที่งบสำรองจ่ายของ TTRS กลับหมดลงแล้ว ทำให้การให้บริการล่ามภาษามือต้องหยุดชะงักตามไปด้วย

เดือนตุลาคม 2566 TTRS เคยปิดให้บริการมาแล้วครั้งหนึ่งเนื่องจากขาดงบประมาณ ทำให้กลุ่มคนหูหนวกต้องออกมาร้องเรียนที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ กสทช. จัดสรรงบให้กับ TTRS จนกระทั่งได้รับงบย้อนหลังสำหรับปี 2565–2566 เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ขณะที่งบตั้งแต่กลางปี 2566 เป็นต้นมายังต้องใช้การสำรองจ่ายของมูลนิธิ

คุณวันทนีย์กล่าวว่า ทางมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการและ TTRS ได้ยื่นเรื่องขอเข้าพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กสทช. ซึ่งแม้หลายคนจะเข้าใจสถานการณ์ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าหรือการดำเนินการใด ๆ ขณะที่เงินสำรองของมูลนิธิก็ใช้จนหมดแล้ว

“มันเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแผน …มูลนิธิสำรองจ่ายไปแล้ว 2 ปี ประมาณ 134 ล้านบาท มูลนิธิไม่มีแล้ว เงินหมดแล้ว […] อะไรที่จ่ายได้ก็จ่าย อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัด ลดงบอบรม ลดประชาสัมพันธ์ลง แต่ตอนนี้เรามีความจำเป็นเร่งด่วน ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ทั้งหมดในออฟฟิศที่ใช้มาแล้วกว่า 8 ปี [...] เราก็คุยกับมูลนิธินะคะว่าอาจต้องปิด TTRS”

คุณวันทนีย์ระบุว่า หลายฝ่ายเสนอให้ TTRS หาแหล่งเงินจากส่วนอื่น เช่น การเปิดรับบริจาค แต่เธอมองว่า จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการดำเนินงานของ TTRS สูงเกินกว่าที่การบริจาคจะรองรับได้ อีกทั้งงานของ TTRS เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน กสทช. ซึ่งควรได้รับงบประมาณจากกองทุนนี้โดยตรง และที่ผ่านมาก็เคยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณมาโดยตลอด แม้ในเชิง “ความต่อเนื่อง” จะยังมีปัญหา

“เราพยายามคุยว่า กสทช. อาจต้องปรับปรุงให้กระบวนการอนุมัติเป็นไปตามกรอบระยะเวลาจริง ต้องมีการเตรียมการล่วงหน้า ต้องแบ่งโครงการว่าเป็นโครงการต่อเนื่องหรือโครงการใหม่ ถ้าเป็นโครงการต่อเนื่อง ระหว่างการเปลี่ยนแผนก็ควรมีวิธีอนุมัติงบชั่วคราวเพื่อไม่ให้ขาดช่วง [...] หลายฝ่ายบอกว่าอาจต้องไปหาเงินจากที่อื่น แต่เงินส่วนนี้ กสทช. ก็เก็บมาแล้วค่ะ ควรจะนำมาใช้ได้แล้ว”

ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนหูหนวกยังคงออกมาเรียกร้องผ่านหน่วยงานและโซเชียลมีเดียถึงความเดือดร้อนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขากำลังเผชิญอุปสรรคสำคัญในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน แม้แต่การพูดคุยกับคนในครอบครัวก็ยังเป็นเรื่องยาก ในขณะที่ล่ามภาษามือและพนักงานของ TTRS เองก็ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ และหลายคนกำลังกังวลว่า หากการขาดงบประมาณยังคงยืดเยื้อต่อไป พวกเขาอาจต้องสูญเสียงานเช่นเดียวกัน



แชร์
คนหูหนวกจะอยู่อย่างไร เมื่อ TTRS ปิดบริการเพราะขาดงบจากกสทช.