การเงิน

ตลท.เตือนนลท.ไทยอย่าโอเวอร์รีแอค SVB ล้มไม่กระทบธุรกิจในไทย

14 มี.ค. 66
ตลท.เตือนนลท.ไทยอย่าโอเวอร์รีแอค SVB ล้มไม่กระทบธุรกิจในไทย

จากเหตุการณ์ SVB ที่มีการปิดตัวลง ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) มีนักลงทุนมีแรงขายหุ้นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลง 49 จุด ลดลง 3.13% ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,523.89 จุด ทำให้ภายหลังจากปิดตลาดหุ้นไทย ตลท.จัดแถลงข่าวด่วน เวลา 17.30 น. และคณะกรรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จัดแถลงข่าว 18.00 น.เพื่อชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ลดลงไป 49 จุด เป็นการขายจากนักลงทุนต่างประเทศ 4,700 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ 2,400 ล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว มองว่าเป็นการโอเวอร์รีแอค เพราะวันนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ยุโรป ยังมีความไม่ชัดเจนแน่นอน”

ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ขายสุทธิ 4,727.13 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ 2,442.04 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์  ขายสุทธิ 2,601.72 ล้านบาท แต่นักลงทุนรายย่อยในประเทศ ซื้อสุทธิ 9,770.89 ล้านบาท โดยการขายสุทธิมาจาก 3 กลุ่มหลักรวมกันมีน้ำหนักรวมกันกว่า 50%  คือ พลังงาน 20%  แบงก์ 15%  อิเล็กทรอนิกส์ 15%

จากสถานการณ์การซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ที่มีแรงขายในช่วงท้ายก่อนปิดที่มีการปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นในเอเซีย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปิดช้ากว่าตลาดอื่นในเอเซีย ไม่ได้เกิดจากขายชอร์ต เพราะพบว่า ระดับการขายชอร์ตในวันนี้ยังต่ำกว่า 10% ซึ่งถือว่าปกติ นอกจากนี้ เวลาซื้อขายของตลาดหุ้นไทยอยู่ระหว่างตลาดหุ้นยุโรปและเอเซีย แรงเทขายของนักลงทุนในวันนี้จึงเป็นเรื่องทางเทคนิค และขอให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปในคืนนี้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ อย่างไร

“คืนนี้ รอดูสหรัฐฯ ว่าเราจะสบายใจหรือหนักใจ ส่วนตัวมาตรการของเฟดที่ทำ ยอมรับว่าไม่เคยเห็นอะไรที่รวดเร็ว เข้มแข็งอย่างนี้ ป้องกันผู้ฝากเงิน ไม่เคยเห็นอะไรที่เด็ดชาดขนาดนี้มาก่อนเลย เชื่อว่าพรุ่งนี้จะมีการปรับโพซิซั่นกันอีกครั้ง”  ดร.ภากร กล่าว

ทั้งนี้ สถานการณ์ของ SVB ทางการสหรัฐฯ เข้ามาช่วยเหลือดูแลประกันเงินฝาก ลูกค้าทุกคนจะได้เงินคืน โดยการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของสหรัฐฯ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

โดยสาเหตุที่แบงก์สหรัฐฯ ปิดตัวลง ตลท. มองว่า เกิดจากลักษณะเฉพาะของแบงก์นั้น และทางการสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วช่วยให้วิกฤตเหล่านี้ไม่ลาม แต่อย่างไรก็ต้องติดตามต่อว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่ หรือมีแบงก์อื่นๆ อีกหรือไม่ แต่เบื้องต้นมองว่ามาตรการต่างๆ น่าจะเพียงพอ

ในส่วนของแบงก์ไทย ตลท. มองว่าแบงก์ไทยค่อนข้างแข็งแกร่ง เพราะยังมีเงินทุนพียงพอ และประเด็นปัญหาแบงก์สหรัฐฯ เกิดจากมีกลุ่มเงินฝากในบางกลุ่ม ขณะที่แบงก์ไทยมีเงินฝากที่ค่อนข้างกระจาย

“ อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกท่านอย่าเพิ่งตื่นตระหนก  เพราะสถาบันต่างประเทศเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็จะมีการตั้งขาย และจะเป็นการขายทั่วโลก โดยไม่ต้องดูว่าตลาดไหนดีไม่ดี และกลับไปถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเสมอ สภาพคล่องจะวิ่งไปวิ่งมา เวลามีความไม่แน่นอน สิ่งที่อยากให้มอง คือ วันนี้เป็นเหตุการณ์ระยะสั้น ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ และมันไม่ได้มีข่าวอะไรกระทบกับสถาบันการเงินไทย หรือเศรษฐกิจไทย มองธุรกิจบางกลุ่มของไทยฟื้นตัว เช่น ท่องเที่ยว การบริโภค โรงแรม โรงพยาบาล และอาหารที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น" ดร.ภากร กล่าว

 

ก.ล.ต. ยันสถาบันการเงิน-ธุรกิจไทยไม่รับผลกระทบ

ส่วนทางด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มองว่าการตกของตลาดหุ้นไทยในวันนี้เกิดจากความกังวลของนักลงทุนจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Moody’s ดาวน์เกรดธนาคารที่กำลังมีปัญหาอย่าง Signature Bank ลงเป็น “junk” ทำให้นักลงทุนกังวลว่าความเสียหายนี้จะลุกลามไปธนาคารหรือธุรกิจในภาคส่วนอื่น

อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ยืนยันว่า สถาบันการเงินและธุรกิจในไทยไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกับธนาคารหรือธุรกิจที่กำลังประสบปัญหา โดยในด้านตลาดพันธบัตร(บอนด์) ก.ล.ต. ไม่พบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ไม่พบแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ บริษัทในไทยที่มีการออกหุ้นกู้ก็ยังมีการดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติ ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้แต่อย่างใด

ส่วนทางด้านตลาดหุ้น ก.ล.ต. ชี้ว่า บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ในประเทศไทยยังมีสภาพคล่องสุทธิในระดับที่ดีอยู่ นอกจากนี้ ถึงแม้จะมีการซื้อขายเป็นจำนวนมาก การชำระราคาส่งมอบของบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยในวันนี้ก็ยังเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อยดี

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ยืนยันว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังติตดามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการติดต่อสื่อสารและร่วมมือระหว่างองค์กรอย่างสม่ำเสมอเพื่อดูแลนักลงทุน โดยระบุว่า หากตลาดหุ้นไทยตกลงไปมากกว่านี้ คือ ถึงระดับ 8% ก็อาจจะมีการบังคับใช้มาตรการต่างๆ รวมไปถึง “circuit breaker” หรือการหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที และ 1 ชั่วโมง เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อการลงทุนอย่างครบถ้วน และป้องกัน panic sell

advertisement

SPOTLIGHT