ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.56 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 32.75 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก หลังสหรัฐเปิดเผยเศรษฐกิจหดตัวในไตรมาส 1/2568 ที่ระดับ 0.2 % จากผลกระทบของภาคการบริโภคที่ปรับตัวลง ประกอบการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42 ก่อนการมีผลบังคับใช้ของมาตรการภาษี ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นเกินกว่าประมาณการ
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันนี้ และติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในปลายสัปดาห์หน้า
สถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวานนี้ ขายสุทธิหุ้นไทย 1,500 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 12,000 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 32.40 /ขาย 32.80
* แนะนำ ซื้อ 36.90/ขาย 37.30
* แนะนำ ซื้อ 0.2240 / ขาย 0.2290
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.80 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 32.64 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก ขานรับการปรับตัวขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมทั้งคาดการณ์ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจประกาศข่าวดีเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ดอลลาร์ยังคงได้ปัจจัยบวกจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศเลื่อนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% จากสหภาพยุโรป (EU) เป็นวันที่ 9 ก.ค.ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าที่คลี่คลายลงจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้น 12.3 จุด สู่ระดับ 98.0 ในเดือน พ.ค. จากระดับ 85.7 ในเดือน เม.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 86.0 โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราวในการปรับลดอัตราภาษีศุลกากร ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก
คณะกรรมการเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 6-7 พ.ค.โดยระบุว่า เฟดอาจเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เงินเฟ้อปรับสูงขึ้นในเวลาเดียวกับที่อัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ กรรมการเฟดเตือนว่าสหรัฐฯ มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2568 (ประมาณการครั้งที่ 2) และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) และวันศุกร์จะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE)
สถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวานนี้ ซื้อสุทธิหุ้นไทย 342 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 1,452 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 32.60/ขาย 33.00
* แนะนำ ซื้อ 36.70/ขาย 37.49
* แนะนำ ซื้อ 0.2240 / ขาย 0.2290
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.68 บาท/ดอลลาร์แข็งค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 32.72 บาท/ดอลลาร์
เมื่อวานนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.50 - 32.80 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคเคลื่อนไหวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามทิศทางราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี ล่าสุดราคาทองคำได้รับความสนใจอีกครั้ง จากแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ ทำให้มองว่าราคาทองคำปีนี้ภาพรวมจะยังคงเป็นขาขึ้น
เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศเลื่อนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% จากสหภาพยุโรป (EU) ออกไปเป็นวันที่ 9 ก.ค.
นักลงทุนจับตารายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐ เดือนเม.ย. ในวันศุกร์นี้
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2,192.92 ล้านบาท และซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 4,773 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 32.50/ขาย 32.80
* แนะนำ ซื้อ 36.80 /ขาย 37.30
* แนะนำ ซื้อ 0.2240 / ขาย 0.2290
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.62 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ เมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ระดับ 32.60 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังคงผันผวนไปตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก โดยยังไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระทบ และวานนี้เงินบาทแข็งค่าลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนที่ 32.39บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ตลาดเงินของสหรัฐฯปิดทำการเนื่องจากเป็นวัน Memorial Day
สำหรับในสัปดาห์นี้ ตลาดจะติดตามข้อมูลเงินเฟ้อ PCE เดือนเมษายนของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าได้รุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีทรัมป์ เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปในอัตรา 50% โดยมีผลวันที่ 1 มิ.ย.68 แต่ในเวลาถัดมาว่า ทรัมป์ได้กล่าวว่าจะเริ่มเก็บภาษีดังกล่าววันที่ 9 ก.ค.68 ซึ่งตอกย้ำการบริหารนโยบายที่ขาดความแน่นอน
ส่วนปัจจัยในประเทศ ถึงแม้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/68 จะขยายตัว 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปีนี้ ลงมาอยู่ที่ 1.3-2.3% จากเดิม 2.3-3.3% และยังปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของมูลค่าส่งออก เหลือ 1.8% จาก 3.5% ท่ามกลางความเสี่ยงจากสงครามการค้า
เมื่อวาน นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 3,425 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1,126 ล้านบาท
กรอบค่าเงินวันนี้และกลยุทธ์แนะนำ
*แนะนำ ซื้อ 32.45 / ขาย 32.75
* แนะนำ ซื้อ 36.85 / ขาย 37.35
* แนะนำ ซื้อ 0.2265 / ขาย 0.2305
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า
ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.57 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ระดับ 32.63 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และเงินหยวน รวมถึงการฟื้นตัวกลับมาของราคาทองคำในตลาดโลกในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน
ประกอบกับยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ตั้งแต่ความตึงเครียดของสถานการณ์การค้าโลกผ่อนคลายลงในช่วงกลางเดือน พ.ค. นักลงทุนเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินสกุลภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้นระหว่าง 0.4% - 1.1% นำโดย อินโดนีเซีย 1.1% เกาหลี 1.1% มาเลเซีย 0.6% และไทย 0.5%
ขณะเดียวกันประเด็นเรื่องการปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ มาอยู่ที่ Aa1 โดย Moodys จากภาระหนี้จํานวนมหาศาลของประเทศ และสุขภาพทางการคลังที่แย่ลงของสหรัฐฯ ปัจจัยลบนี้ยังคงกดดันเงินดอลลาร์ฯ ให้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐระยะยาวที่มีความผันผวนและปรับสูงขึ้น
เมื่อวันศุกร์นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,422 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1,738 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ระดับ 32.50
* แนะนำ ทยอยขายที่ระดับ 37.20
* แนะนำ ทยอยซื้อ 0.2260
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.86 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากราคาปิดตลาดเมื่อวันทำการก่อนหน้าที่ระดับ 32.84 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก สอดคล้องการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาหนี้ของสหรัฐ หลังสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐให้การอนุมัติต่อร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณรายจ่ายในวันนี้ โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐให้การอนุมัติอย่างฉิวเฉียดด้วยคะแนนเสียง 215-214 เสียง นักวิเคราะห์เตือนว่า การปรับลดอัตราภาษีครั้งใหม่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
เมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 6,758 ล้านบาท และ ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1424 ล้านบาท
*แนะนำ ซื้อ 32.75/ ขาย 33.00
* แนะนำ ซื้อ 36.80 / ขาย 37.30
* แนะนำ ซื้อ 0.2250/ ขาย 0.2300
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.70 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 32.82 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก จากความกังวลต่อผลการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่ม G7 ในวันนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากปัจจัยทางการคลังเรื่องนโยบายภาษี นโยบายค่าเงิน และความตึงเครียดทางการค้า หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือถ้อยแถลงที่สำคัญจากการประชุม อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ.
สถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 390 ล้านบาท และซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 9,500 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 32.50/ขาย 32.80
* แนะนำ ซื้อ 36.90 /ขาย 37.30
* แนะนำ ซื้อ 0.2260 / ขาย 0.2320
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสอดคล้องกับสกุลอื่นในภูมิภาค โดยตั้งแต่ความตึงเครียดของสถานการณ์การค้าโลกผ่อนคลายลงในช่วงกลางเดือน พ.ค. นักลงทุนเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 0.5% เทียบกับดอลลาร์ สรอ. สอดคล้องกับเงินสกุลภูมิภาคที่แข็งค่าขึ้นระหว่าง 0.4% - 1.1% (แข็งค่านำโดย อินโดนีเซีย 1.1% เกาหลี 1.1% มาเลเซีย 0.6%)
ในระยะต่อไป ค่าเงินภูมิภาค รวมถึงเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูง จากความไม่แน่นอนต่างๆ ทั้งนโยบายการค้า และแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดย ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ขณะที่ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.84 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 33.06 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยของสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่น ซึ่งอาจมีการเจรจาในประเด็นอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ นายคัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น จะทำการหารือกับนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นอกรอบการประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G7 ในสัปดาห์นี้ที่แคนาดา
นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยว่า สนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากเฟดต้องรักษาสมดุลระหว่างแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อเงินเฟ้อ และความวิตกเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ เขากล่าวว่าการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีอัตราสูงกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้
สถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 865 ล้านบาท และซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 930 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 32.70/ขาย 33.10
* แนะนำ ซื้อ 37.00 /ขาย 37.50
* แนะนำ ซื้อ 0.2260 / ขาย 0.2320
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.21 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 33.08 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยถูกกดดันจากข่าวมูดี้ส์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้นักลงทุนจับตาความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า โดยล่าสุดสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่เขาประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ต่อประเทศคู่ค้าที่ไม่เจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อย่าง "สุจริตใจ"
เมื่อวานนี้ นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ระบุว่า เขาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากเฟดต้องรักษาสมดุลระหว่างแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อเงินเฟ้อ และความวิตกเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวตามราคาทองคำโลกที่ปรับตัวขึ้นลง ระหว่างวัน โดยวานนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในช่วง 33.05 - 33.30 บาท/ดอลลาร์
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ วานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 174.01 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 3,648 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 33.00/ขาย 33.40
* แนะนำ ซื้อ 37.00 /ขาย 37.50
* แนะนำ ซื้อ 0.2260 / ขาย 0.2320
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.35 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ระดับ 33.28 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชี้ว่าราคานำเข้าของสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัว แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ราคานำเข้าเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากที่ลดลง 0.4% ในเดือน มี.ค. โดยต้นทุนสินค้าทุน (capital goods) เพิ่มขึ้น แม้ราคาจะพลังงานถูกลง
ขณะที่ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาอยู่ที่ 50.8 ในเดือนนี้ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 53.4
นอกจากนี้ ตลาดมีการคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 7.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2524 จากระดับ 6.5% ในการสำรวจครั้งก่อน
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่เดือน เม.ย. ดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือน พ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ส่วนค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2568 ของไทย สถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าสำคัญ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณเงินทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดี กรอบการฟื้นตัวของเงินบาทเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากยังมีแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันศุกร์ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 1,148 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 42 ล้านบาท
*แนะนำ ซื้อ 33.10 / ขาย 33.40
* แนะนำ ซื้อ 37.00 / ขาย 37.50
* แนะนำ ซื้อ 0.2270 / ขาย 0.2310
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.19 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 33.33 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นหลังจากไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 33.50 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้สกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียปรับตัวขึ้นช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี นําโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินวอนเกาหลีใต้ และการกลับตัวขึ้นของราคาทองคำ ท่ามกลางความกังวลกับความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะงักงันในสหรัฐฯ จากภาษีนําเข้ายังคงเป็นองค์ประกอบสําคัญต่อมุมมองเชิงลบต่อดอลลาร์โดยรวม และความโล่งใจจากข้อตกลงทางการค้าที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
การกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟดความในการประชุมที่วอชิงตัน ดี.ซี. ไม่ได้เน้นหนักไปที่การตัดสินใจล่าสุดของเฟดที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐดูเหมือนจะมีเสถียรภาพโดยรวม แต่ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการว่างงานกําลังเพิ่มขึ้น และอาจกําลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่มีการเกิด Supply Shock บ่อยขึ้น และอาจคงอยู่นานขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายที่ยากสําหรับธนาคารกลาง
รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญเมื่อคืนนี้ เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยรายงานดัชนียอดค้าปลีก (Retail Sales) เพิ่มขึ้น 0.1%, ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน 229,000 ราย และดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี.
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทวันนี้ คาดว่าเงินบาทจะมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.10-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เมื่อวานนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 4,767 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1,172 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยขายที่ระดับ 33.40
* แนะนำ ทยอยขายที่ระดับ 37.30
* แนะนำ ทยอยซื้อ 0.2260
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.37 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 33.23 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่องจากวานนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นอกจากนี้ตลาดจับตาการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน หลังจากที่ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาอาจสนทนาทางโทรศัพท์กับปธน.สี ภายในปลายสัปดาห์นี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนประสบความสำเร็จในการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วันในการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 7,831 ล้านบาท และ ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 425 ล้านบาท
*แนะนำ ซื้อ 33.20/ ขาย 33.50
* แนะนำ ซื้อ 37.00 / ขาย 37.50
* แนะนำ ซื้อ 0.2250/ ขาย 0.2300
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.24 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 33.22 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบแคบ อ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังคงปรับตัวขึ้น ถึงแม้จะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐ (CPI) ต่ำกว่าคาด นักลงทุนเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปีนี้เป็นเดือนก.ย. จากเดิมที่คาดไว้ในเดือนก.ค. หลังสหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ทำให้ลดแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้เฟดไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ
จับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีที่ 15 พ.ค.เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐของเฟด
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวาน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2,466 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 7,700 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 33.10 /ขาย 33.50
* แนะนำ ซื้อ 37.00/ขาย 37.40
* แนะนำ ซื้อ 0.2240/ ขาย 0.2290
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.40 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ระดับ 33.02 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก ภายหลังจากสหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้อัตราภาษีของสหรัฐที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน ลดลงสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% โดยถือว่าเป็น สัญญาณบวกต่อระบบการค้าโลกและเศรษฐกิจโลก และต่อการจ้างงาน รวมถึงมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อโลกลดลงโดยเฉพาะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา
ตลาดจับตาราคาทองคำที่มีการปรับตัวลง รวมถึงความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตลอดจนสถานการณ์สงครามการค้าที่ยังไม่แน่นอน นอกจากนี้จับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีที่ 15 พ.ค.เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐโดยนายพาวเวลมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่จัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในสัปดาห์ที่แล้ว นายพาวเวลส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยระบุว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟด
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนเม.ย. โดยคาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือน เม.ย. เมื่อเทียบรายปีหลังจากปรับตัวขึ้น 2.4% เช่นกันในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 2.8% เช่นกันในเดือนมี.ค.
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวันศุกร์ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,451 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 18,097 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 33.20/ขาย 33.60
* แนะนำ ซื้อ 36.90/ขาย 37.40
* แนะนำ ซื้อ 0.2240/ ขาย 0.2290
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.20 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 32.84 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศว่า สหรัฐได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักรแล้ว ซึ่งนับเป็นประเทศแรกที่บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในเดือน เม.ย. ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ อาจจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่น ๆ เช่นกัน
เมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 228,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 231,000 ราย
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 3,009 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 8,456 ล้านบาท
เมื่อวานนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.25% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ตลาดรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดย สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ จะพบปะกับเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันเสาร์นี้ (10 พ.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นภาษีศุลกากรและการค้า
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 33.00/ขาย 33.40
* แนะนำ ซื้อ 37.00 /ขาย 37.50
* แนะนำ ซื้อ 0.2250 / ขาย 0.2300
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.90 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 32.70 บาท/ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเมื่อคืนนี้ (7 พ.ค.) ตามการคาดการณ์ของตลาด
แถลงการณ์ของคณะกรรมการเฟดระบุว่า ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนในการพิจารณาเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยในอนาคตนั้น คณะกรรมการจะใช้ความระมัดระวังในการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจ และเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง“
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นภาษีศุลกากรและการค้า
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและคู่ค้าสำคัญ สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติในตลาดการเงินไทย
เมื่อวานนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 11,252 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 4,524 ล้านบาท
*แนะนำ ซื้อ 32.75 / ขาย 33.05
* แนะนำ ซื้อ 36.90 / ขาย 37.40
* แนะนำ ซื้อ 0.2265 / ขาย 0.2305
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.68 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 32.67 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือน ซึ่งปัจจัยที่นอกเหนือจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเอเชียอื่นๆ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันแล้ว ยังเป็นเพราะมี Fund flow เข้ามาซื้อพันธบัตรไทยเกือบ 26,000 ล้านบาท ประกอบกับราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าทะลุต่ำกว่าระดับ 33 บาท/ดอลลาร์ได้อย่างรวดเร็ว
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของไทยที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศเมื่อวานไม่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินมากนัก โดยเดือน เม.ย. -0.22%YoY หดตัวมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ -0.12%YoY จากเดือน มี.ค. ที่ +0.84%YoY ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของไทยเดือน เม.ย. ที่ +0.98%YoY เพิ่มขึ้นจากเดือน มี.ค. ที่ +0.86%YoY
สำหรับวันนี้ ปัจจัยสำคัญต่อค่าเงินบาทคือ Fund flow ว่ายังจะไหลเข้าต่อเนื่องหรือไม่ รวมไปถึงราคาทองคำ และผลประชุมดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะรู้ผลในคืนนี้ โดยตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม และรอฟังแถลงของประธานเฟด เพื่อหาสัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทวันนี้ คาดว่าเงินบาทจะมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เมื่อวานนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 25,883 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 853 ล้านบาท
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ระดับ 32.50
* แนะนำ ทยอยขายที่ระดับ 37.20
* แนะนำ ทยอยซื้อ 0.2260
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 32.92 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวันทำการก่อนหน้าที่ระดับ 33.07 บาท/ดอลลาร์
เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักขณะที่นักลงทุนจับตาธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้โดยคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมแม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะกดดันอย่างหนักให้เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม นอกจากนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 138,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 1,578 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1,355 ล้านบาท
*แนะนำ ซื้อ 32.80/ ขาย 33.10
* แนะนำ ซื้อ 37.00 / ขาย 37.50
* แนะนำ ซื้อ 0.2270/ ขาย 0.2320
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 33.55 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวันพุธที่ระดับ 33.42 บาท/ดอลลาร์ หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับ 2.00% เป็น 1.75% ต่อปีเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและดูแลภาวะการเงินให้เหมาะสมเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจหดตัว ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ของตัวเลข GDPประจำไตรมาส 1/2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.3% หลังจากที่มีการขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 4/2567 อย่างไรก็ดี ตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ของสหรัฐฯ หดตัวลงน้อยกว่าที่โกลด์แมน แซคส์คาดว่าจะหดตัว 0.8% และน้อยว่าที่เจพี มอร์แกนคาดว่าจะหดตัวรุนแรงถึง 1.75% นอกจากนี้ยังคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า
ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้หลังเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงใน โดยที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนพ.ค. และคาดว่าเฟดจะปรับลดในการประชุมเดือน มิ.ย. ก.ค. ก.ย. และเดือน ธ.ค.ในปีนี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 2.2% แต่ต่ำกว่าระดับ 2.7% ในเดือน ก.พ. และเปิดเผยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 48.7 ในเดือน เม.ย. จากระดับ 49.0 ในเดือน มี.ค. แต่สูงกว่าที่คาดที่ระดับ 48 และเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ 241,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 18,000 ราย จาก 223,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 224,000-225,000 ราย และสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.
สถานะพอร์ตการลงทุนของนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 3,318 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 2,188 ล้านบาท
จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยคาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 129,000 ตำแหน่งในเดือน เม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 228,000 ตำแหน่งในเดือน มี.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.2% ในเดือนเม.ย.
*แนะนำ ทยอยซื้อที่ 33.30/ขาย 33.70
* แนะนำ ซื้อ 37.60/ขาย 38.00
* แนะนำ ซื้อ 0.2280/ ขาย 0.2330