หลังจากที่ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นการปรับปรุงเงื่อนไขข้อกำหนดในการผ่อนปรนให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้บางพื้นที่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ประกาศฉบับนี้ ยังคงห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา เป็นการทั่วไป แต่ยกเว้นอนุญาตให้ขายได้เฉพาะ
1. ในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ
2. ในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
3. ในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
4. ในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
5. ในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นอกจากนี้ ในข้อสุดท้ายของประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ยังระบุด้วยว่า "ให้ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามในข้างต้น จะต้องจัดให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จำเป็น เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็ก และเยาวชนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด"
นั่นหมายความว่า กฎหมายฉบับนี้ ได้เพิ่มหน้าที่ และความรับผิดชอบ ให้เจ้าของสถานบริการ สถานประกอบการ หรือผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องมีมาตรการที่จำเป็น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนโดยรวม และจำกัดการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน เพราะในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2567 (ฉบับก่อน) ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขความรับผิดชอบข้อนี้ลงไปด้วย ในที่นี้บังคับเฉพาะวันที่ขายในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว กฎหมายผ่อนปรนให้สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ แต่เจ้าของสถานบริการ สถานประกอบการ หรือผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม หากเกิดผลกระทบต่อสวัสดิการความปลอดภัยของประชาชน นั่นเอง
Advertisement