ราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ทะยานสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนถึง 21 เท่า นับเป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และผู้มีรายได้น้อย ที่กำลังเผชิญกับความฝันในการมีบ้านที่ห่างไกลออกไปทุกที
วิกฤตราคาบ้านพุ่งสูง เพราะอะไรหลังจากนี้คนไทยจะซื้อ บ้าน ยากมากขึ้น
จากข้อมูลของ KResearch ที่เผยให้เห็นภาพอันน่าตกใจของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ราคาบ้านโดยเฉลี่ยสูงกว่ารายได้ครัวเรือนถึง 21 เท่า ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกอื่นๆ เช่น โฮจิมินห์ มะนิลา หรือแม้แต่สิงคโปร์ ลองนึกภาพว่า คนกรุงเทพฯ ต้องเก็บเงินจากรายได้ทั้งหมดเป็นเวลานานถึง 21 ปี เพียงเพื่อจะซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง! นี่คือความจริงที่โหดร้ายที่สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของคนไทยในการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หรือผู้มีรายได้น้อยที่ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเทียบ กรุงเทพฯ กับเมืองอื่นในเอเชียแปซิฟิก
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กรุงเทพฯ มีอัตราส่วนราคาบ้านต่อรายได้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับต้นๆ แซงหน้าเมืองสำคัญอย่าง โฮจิมินห์ (25.3 เท่า), ฮ่องกง (25.1 เท่า), และมะนิลา (25 เท่า) แม้แต่สิงคโปร์ ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีค่าครองชีพสูง ก็ยังมีอัตราส่วนนี้อยู่ที่ 13.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่ากรุงเทพฯ เกือบเท่าตัว
ปัจจัยที่ทำให้บ้านใน กทม. แพงเกินเอื้อม
- ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น: การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทำให้ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นตามไปด้วย
- ต้นทุนพัฒนาโครงการพุ่งไม่หยุด ฉุดราคาบ้านสูงขึ้น : ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือต้นทุนการพัฒนาโครงการที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน ในช่วงปี 2018-2024 ราคาที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ใน กทม. เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.8% ต่อปี
- ค่าแรงของคนงานเพิ่มขึ้นเพียง 1.2% ต่อปีเท่านั้น : ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้และราคาบ้านที่ขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆ นี้ ยิ่งซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในแทบทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นย่านใจกลางเมืองหรือชานเมือง
- ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองยังคงสูง: การย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานและศึกษาในกรุงเทพฯ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองเพิ่มขึ้น แต่ supply มีจำกัด จึงดันราคาให้สูงขึ้น
ราคาบ้านพุ่งทะยาน! ทุกภาค ความฝัน 'มีบ้าน' ของคนไทยสั่นคลอน ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน
ภาพจาก KResearch ฉายให้เห็นภาพความจริงอันน่ากังวลของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2018-2024 ที่ราคาที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ทั่วประเทศพุ่งสูงขึ้นเฉลี่ยถึง 9.1% ต่อปี ในขณะที่ค่าจ้างแรงงานกลับเพิ่มขึ้นเพียง 1.2% ต่อปีเท่านั้น สำหรับ ภาคใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ ราคาบ้านพุ่งแรงแซงทุกภาค เมื่อพิจารณาในรายภาค พบว่าภาคใต้มีอัตราการเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยสูงที่สุดถึง 13.6% ต่อปี ตามมาด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ 10.6% และภาคกลางที่ 8.7%
สำหรับการเติบโตที่ร้อนแรงนี้สะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยสูง ภาคใต้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ มีชาวต่างชาติและคนไทยจำนวนมากต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนหรือลงทุน ทำให้ความต้องการที่ดินและที่อยู่อาศัยสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภาคใต้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เช่น สนามบิน ท่าเรือ และถนน ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น และดึงดูดนักลงทุนและผู้ซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในพื้นที่ EEC (Eastern Economic Corridor) ที่ดึงดูดนักลงทุนและแรงงานจำนวนมากเข้ามาในพื้นที่ ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและดันราคาให้พุ่งทะยาน
อุปสรรคที่ขวางกั้นความฝันของคนไทยในการมีบ้าน
นอกจากปัญหาความไม่สมดุลระหว่างรายได้และราคาที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อบ้านของคนไทยในอนาคต เช่น
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและรายได้: สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของรายได้ในอนาคต และไม่กล้าตัดสินใจลงทุนขนาดใหญ่เช่นการซื้อบ้าน
- ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง: คนไทยจำนวนมากมีภาระหนี้สินจากการบริโภคและการศึกษา ทำให้ยากต่อการขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น
- ความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ฟื้นตัว: แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หลายคนยังคงชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านออกไป
วิกฤตราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างราคาที่อยู่อาศัยและรายได้ของประชาชน และทำให้คนไทยทุกคนมีโอกาสมีบ้านเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริง
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ ทางออกและโอกาส
- ภาคอสังหาริมทรัพย์: ผู้ประกอบการอาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป เช่น การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยราคาประหยัด หรือการให้บริการเช่าระยะยาว นอกจากนี้ ภาคเอกชนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในทุกระดับราคา และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง
- ภาคการเงิน: ธนาคารและสถาบันการเงินอาจต้องทบทวนนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรมีนโยบายสินเชื่อที่ยืดหยุ่นและเอื้อต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย การขยายระยะเวลาผ่อนชำระ หรือการให้สินเชื่อร่วมกับภาครัฐ
- ภาครัฐ: หากปัญหาความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐบาล อาจต้องพิจารณามาตรการต่างๆ เช่น การควบคุมราคาที่ดิน การส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาประหยัด และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ซื้อบ้านรายแรก
- ประชาชน: ควรวางแผนการเงินอย่างรอบคอบและศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
วิกฤตที่อยู่อาศัย ความท้าทายที่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
วิกฤตราคาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และผู้มีรายได้น้อย ความฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองดูเหมือนจะห่างไกลออกไปทุกที ท่ามกลางราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรายได้ที่เติบโตไม่ทัน
การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมราคาที่ดิน ส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาประหยัด และให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ซื้อบ้านรายแรก ภาคเอกชนต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในทุกระดับราคา และภาคประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจในการวางแผนการเงินและการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย
วิกฤตนี้เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยให้มีความยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราสามารถสร้างอนาคตที่คนไทยทุกคนมีโอกาสมีบ้านเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริง เพราะบ้านไม่ใช่แค่เพียงที่อยู่อาศัย แต่คือรากฐานของความมั่นคงในชีวิต
ที่มา KResearch