อินไซต์เศรษฐกิจ

บิทคอยน์ราคาร่วงแรง! สายซิ่งคริปโตอยากหลุดดอย มีทางเลือกอะไรบ้าง?

3 พ.ค. 65
บิทคอยน์ราคาร่วงแรง! สายซิ่งคริปโตอยากหลุดดอย มีทางเลือกอะไรบ้าง?

ปี 2021 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ “สายซิ่งคริปโท” ที่กล้าลงทุนในเหรียญที่มีราคาผันผวนสูงผุดขึ้นมากมาย เนื่องจากตลาดคริปโทเคอร์เรนซีให้ผลตอบแทนแบบ “เกินห้ามใจ” ในปีที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์พุ่งทำจุดสูงสุดถึง “ 68,789 ดอลลาร์/บิตคอยน์” ในเดือนพฤศจิกายน

 

บิตคอยน์1

 

แต่มาในปีนี้ ภาพเหมือนหนังคนละม้วน ราคาคริปโทพี่ใหญ่อย่าง “บิตคอยน์” ร่วงลงเกือบ 50% จนในวันนี้ราคาลงมาอยู่ที่ 38,455 ดอลลาร์/บิตคอยน์ และเมื่อพี่ใหญ่อย่างบิตคอยน์ปรับลดลงก็พาเหรียญเล็กๆ หลายสกุลร่วงกราวตามไปด้วย สายซิ่งหลายคนจึงหนีไม่พ้นอาการ “ติดดอย” ทำเอาถอดใจ ลบแอพฯ ออกจากวงการคริปโทไปเลยก็มี

แต่มุมมอง 2 กูรูแห่งวงการคริปโท “ดร. แบงค์” ดร. เอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด และ “คุณซานเจย์” สัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด (Cryptomind Advisory) กลับมีมุมมองที่ปลุกความหวังให้กับนักลงทุนอีกครั้ง เพราะท้ง 2 ท่านเชื่อมั่นว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีแต่จะเติบโตมากขึ้น และความหลากหลายของสินทรัพย์ดิจิทัลทำให้ “ชาวดอย” มีโอกาส “หลุดดอย” ได้เช่นกัน

 

bitcoinhalving1



ปรากฏการณ์วัฏจักรหลัง “บิตคอยน์ฮาล์ฟวิ่ง”

 



ปรากฏการณ์ “บิตคอยน์ฮาล์ฟวิ่ง” หรือการลดผลตอบแทนนักขุดเพื่อลดซัพพลายของระบบ เพิ่มมูลค่าให้กับบิตคอยน์นั้น จะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี ดร. แบงก์ เล่าว่า Bull Market หรือภาวะกระทิงของตลาดมักจะเกิดขึ้นหลังการ Having 6 เดือน และกินเวลาตลาดกระทิงอยู่ถึง 1 ปี หลังจากเดือนพฤศจิกายน 2012 เกิด “ฮาล์ฟวิ่งขึ้นครั้งแรก” ตลาดก็จะเข้าสู่ภาวะ “ตลาดกระทิง” อยู่เป็นเวลาประมาณ 1 ปี คือปี 2013 ก่อนจะเข้าสู่โหมดตลาดหมี ในปี 2014 ราคาบิตคอยน์ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,115 ดอลลาร์ ในช่วงตลาดกระทิง ก่อนดิ่งกว่า 80% สู่ก้นเหวที่ 178 ดอลลาร์ในเวลาเพียงเดือนเศษๆ เท่านั้น

 

“ฮาล์ฟวิ่งครั้งที่ 2” ในเดือนกรกฎาคม ปี 2016 ตั้งแต่ช่วงปลายปีนั้นไปจนถึงต้นปี 2017 ตลาดก็สวมบทกระทิง พุ่งทะยานจากราคาหลักร้อยดอลลาร์ ไปแตะระดับสองหมื่นดอลลาร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ขาลงในปี 2018 ในวัฏจักรนี้ ราคาบิตคอยน์พีคที่ 19,497 ดอลลาร์ ก่อนค่อยๆ ปรับราคาลง จนแตะระดับต่ำสุดที่ 3,236 ดอลลาร์ คิดเป็นกว่า 80% เช่นเดียวกัน

 

 

BITCOIN The Golden 51%-49% Ratio! 600 days of Bull Market left! by TradingShot on TradingView.com

 

ส่วน “ฮาล์ฟวิ่งครั้งที่ 3” ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปี 2020 ที่ผ่านมา ก็ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาบิตคอยน์ในรูปแบบคล้ายๆ กัน ปี 2021 จึงกลายเป็นปีทองของวงการคริปโท โดยบิตคอยน์ ได้พุ่งขึ้นไปทำ all-time high ที่ 68,789 ดอลลาร์/บิตคอยน์ ในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึงกว่า 6 เท่า จากราคาที่เคยเคลื่อนไหวในช่วง 10,000 เหรียญ ในปี 2020 แต่หลังจากนั้นไม่นาน ราคาบิตคอยน์ร่วงลงมาเกือบ 50% สู่จุดต่ำสุดที่แถวๆ 35,000 ดอลลาร์ ในช่วงต้นปี 2022

 

ทั้ง ดร.แบงค์ และ คุณซานเจย์ มองปรากฏการณ์ของราคาบิตคอยน์ในปีนี้ว่า จะไม่ตกลงไปถึง 80 % เหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา เพราะ จุดต่างสำคัญก็คือ “นักลงทุนสถาบัน” ซึ่งเป็นตัวแทนของความเชื่อมั่นและเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามาในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงปัจจุบัน บิตคอยน์และเหรียญสกุลใหญ่ๆ อื่นๆ เช่น อีเธอเรียม โซลานา ก็เริ่มมีตัวอย่างการใช้งานจริง และอีโคซิสเซมที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ในวัฏจักรฮาล์ฟวิ่งรอบที่ 3 นี้ จึงไม่น่าจะร่วงลงไปถึง 80% ทุกครั้งที่บิตอคยน์ไหลลง จะมีแรงซื้อจากทั้งสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย ดันราคากลับขึ้นมาได้

 

บิตคอยน์1

ราคาบิตคอยน์ปีนี้มีแนวรับที่ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ/บิตคอยน์

 

ดร.แบงค์มองว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกดดันราคาบิตคอยน์ในปีนี้คือ การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ที่จะส่งผลให้ นักลงทุนขายสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง เพื่อไปถือครองธนบัตรซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า รวมถึงสงครามรัสเซียยูเครนที่ยังกดดันเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ เราจึงเห็นราคาของบิตคอยน์ในช่วงที่ผ่านมา จึงอยู่ในช่วงพักฐาน และเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 38,000 - 48,000 ดอลลาร์ และจะเคลื่อนไหวเช่นนี้ไปอีกระยะใหญ่
 
แต่ตลาดก็ยังมี “เงินเฟ้อ” เป็นปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่อราคาบิตคอยน์ เนื่องจากคนต้องการถือสินทรัพย์อื่นๆ ที่รักษามูลค่า และสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเงินสด นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีหลังการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เฟดจะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นกัน จึงมองว่า แนวรับสำคัญของราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ/บิตคอยน์
 
ด้านคุณซานเจย์ บอกว่า เขาตั้งรับบิตคอยน์ไว้แล้วที่ราคาราว 29,000 - 30,0000 ดอลลาร์สหรัฐ/บิตคอยน์ เพราะมองว่า นี่คือโอกาสของการลงทุนที่จะทยอยสะสม ส่วนขาขึ้นหรือโอกาสที่ราคาบิตคอยน์ในปีนี้ มีโอกาสขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่เป็นไปได้ค่อนข้างน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ มองราคากรอบด้านบนไว้ที่ 70,000 - 75,000 ดอลลาร์/บิตคอยน์
 

 

บิตคอยน์2

3 ทางเลือกลงทุน พาเหล่าสายซิ่งลงจากดอย



แม้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในปีนี้จะไม่ง่ายเหมือนปีที่ผ่านมา แต่เราก็สามารถเลือกใช้ 3 วิธีนี้ช่วยพาบรรดาสายซิ่ง ค่อยๆ เดินลงจากดอยได้ โดยเรียงตามลำดับความซิ่งจากมาก ไปน้อย ดังนี้

 

BAYC1



1. ลงทุนใน NFT

แม้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีจะผ่านพ้นช่วงเวลา “นาทีทอง” หลังการฮาฟวิ่งไปแล้ว แต่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอีกรูปแบบหนึ่งอย่าง “NFT” ก็ยังมีผู้คนเข้ามาลงทุนอยู่เรื่อยๆ ทั้งในแง่ของการสะสมงานศิลปะเพราะความชอบ ในแง่การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่ผลิตออกมาจำกัด หรือในฐานะขององค์ประกอบสำคัญที่จะถูกนำไปต่อยอดในโลก “Metaverse” บนระบบ Web 3.0 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดย “Opensea” แพลตฟอร์มซื้อขาย NFT อันดับ 1 รายงานวอลุ่มการซื้อขายในต้นไตรมาสที่ 2 ว่า เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 30% สู่ระดับ 3.2 พันล้านดอลลาร์ (1.1 แสนล้านบาท)
 
คุณซานเจย์แนะนำว่า การลงทุนใน NFT อาจถูกใจสายซิ่งหลายคน เพราะสามารถลงทุนในโปรเจกต์ใหญ่ๆ ที่ได้รับความนิยมและความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งข้อดีคือการมีมูลค่าที่แน่นอนกว่า หรืออาจเลือกลงทุนใน NFT ของโปรเจกต์เล็กๆ ซึ่งหากเลือกถูกตัว ก็อาจทำกำไรได้หลักพัน หลักหมื่นเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกับเหรียญคริปโทตัวเล็กๆ เลยทีเดียว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องระลึกไว้เสมอคือ สินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงในเรื่องของ “สภาพคล่อง” สูงกว่าคริปโทเคอร์เรนซี เนื่องจากมีมาร์เก็ตเพลสไม่กี่ราย เหรียญที่ใช้ซื้อขายใช้ได้เพียงบางสกุล และดีมานด์-ซัพพลายไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลาหรือมีความถี่เหมือนคริปโท

 



อย่างเช่นโปรเจกต์ “ลิงหน้าเบื่อ” Bored Ape Yacht Club (BAYC) ยอดฮิตที่เป็นที่หมายปองของนักลงทุน นักสะสม รวมถึงดารา ศิลปิน และผู้มีชื่อเสียงมากมาย ที่ตอนนี้ราคาเสนอซื้อขายต่ำสุด (Floor price) บนหน้าเว็บ Opensea สูงถึง 116.5 อีเธอเรียม หรือ 11.4 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว! ล่าสุดสตูดิโอผู้สร้างได้ยกระดับโครงการ ตาม Roadmap 2.0 ที่จะมีกิจกรรมในโลกจริง และสร้างโลก Metaverse โดยเปิดให้จับจองที่ดิน และขายหมดภายใน 3 ชม. สร้างรายได้ให้สตูดิโอผู้สร้างกว่า 1 หมื่นล้านบาท
 
หากคุณซื้อลิงหน้าเบื่อตัวทั่วไป ในราคาต่ำสุดที่ 6,054 ดอลลาร์ เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว มาวันนี้คุณจะขายได้ในราคา 5,700% ของราคาเริ่มต้น! ผู้ที่สนใจลงทุนใน NFT ควรทำความเข้าใจพฤติกรรมของสินทรัพย์ชนิดนี้ให้ดี พร้อมศึกษา Roadmap และ Community ของแต่ละโปรเจกต์ให้ถี่ถ้วน เพื่อจะได้เลือก NFT ได้ถูกตัว และสร้างผลกำไรแบบ “อู้ฟู่” ได้ตามที่ต้องการ

 

บิตคอยน์3

2. Staking กับ Exchange หรือ Farming กับ DeFi

ทางเลือกที่สองนี้เหมาะสำหรับสายซิ่งที่ติดดอยอยู่ แต่ไม่อยาก Cut loss ปล่อยเหรียญสุดที่รักของตัวเองไป ดร.แบงค์แนะนำว่าสามารถนำเหรียญไป “Staking” หรือฝากไว้กับ Exchange เพื่อรับค่าตอบแทนเป็นเหรียญสกุลนั้นๆ เหมือนกับการฝากงาน ซึ่งมีข้อดีคือไม่เสียค่าธรรมเนียม มี Exchange ดูแลให้ และฝากเหรียญเพียงสกุลเดียว แต่ก็จะได้กำไรน้อยกว่า ในหลักไม่กี่% จนถึง หลักสิบกว่า% ตามความเสี่ยงของชนิดเหรียญที่นำไปฝาก และยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาอยู่
 
หรือนักลงทุนสามารถนำเหรียญไป “Farming” กับ DeFi พูดง่ายๆ คือการนำเหรียญของเราเข้าไปช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบ โดยจะต้องนำเหรียญไปฝาก 2 สกุล แล้วจะได้รับเหรียญสกุลหลักของ DeFi นั้นๆ เป็นค่าตอบแทน ซึ่งอาจได้ในหลักสิบจนถึงพันเปอร์เซ็นต์เลยก็ได้ แต่จะไม่มีคนการันตี และมีความเสี่ยงจากทั้งราคาเหรียญที่ผันผวนพร้อมกันถึง 2 สกุล และความเสี่ยงที่จะโดนแฮ็กเอาเหรียญไป
 
ในช่วงวัฏจักรที่หนึ่งและสองหลังจากฮาล์ฟวิ่ง ดร.แบงค์เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นก็เจอกับสภาวะที่ผันผวนแบบนี้ แต่ไม่มีทางเลือกให้หาผลตอบแทนแบบทุกวันนี้ ต้องจำใจถือเหรียญถือเหรียญติดดอยไว้ รอเวลาจนกว่าตลาดเจ้าเข้าสู่วัฏจักรใหม่อีกครั้ง ซึ่งนักลงทุนทุกวันนี้โชคดีกว่ามาก ที่มีเครื่องมือหลากหลายที่ช่วยให้สามารถหาผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาด

 

บิตคอยน์4

 

3. DCA ในเหรียญที่มีความน่าเชื่อถือสูง

ทางเลือกที่ 3 นี้อาจเหมาะสำหรับ “สายซิ่งกลับใจ” ที่อยากลดความเสี่ยงจากการลงทุนบ้าง หนึ่งในวิธีสุดคลาสสิก ที่ใช้ได้กับสินทรัพย์ทุกประเภทคือการ “DCA - Dollar-Cost Averaging” หรือการหยอดเงินลงไปทุกๆ เดือนนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนรูปแบบนี้อาจไม่ได้รับผลตอบแทนที่หวือหวา แต่จะเป็นเครื่องมือชั้นดีในการจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในทุกสภาวะตลาด ถ้าตลาดขาขึ้น ก็ถือว่าเก็บสะสมเพื่อสร้างกำไร ตลาดขาลงก็ถือว่าได้ซื้อของในช่วงเซลส์แทน
 
โดยเหรียญที่จะเลือก DCA ควรเป็นเหรียญพี่ใหญ่ที่มี Market Cap สูงๆ เช่น บิตคอยน์ อีเธอเรียม BNB ฯลฯ แม้ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวา แต่เป็นตัวการันตีให้เราอยู่ในตลาด และสะสมผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างแน่นอน

 

 

Zipmex Cryptomind



ตอนตกรถบ่นเสียดาย ตอนรถวนมารับแบบนี้ กล้าเสี่ยงมั้ย?



“รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้อย่างนี้” เป็นวลียอดฮิตในยามตลาดขาขึ้น แต่ในยามตลาดผันผวนเช่นเดียวกับที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ ซึ่งบิตคอยน์ราคาร่วงลงมาจากจุดสูงสุดแล้วกว่า 50% นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะกลับเข้ามาเก็บสะสมสินทรัพย์ดิจิทัลใน “ราคาถูก” ทำกำไรระหว่างทาง และถือรอจนกว่าจะเข้าสู่วัฏจักรของการฮาล์ฟวิ่งครั้งต่อไปในอีก 2 ปีข้างหน้า

 

ดร.แบงค์



ในสภาวะที่เงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบหลายสิบปีเช่นนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูสี หรือชนะเงินเฟ้อ อย่างคริปโทเคอร์เรนซี หุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ที่สำคัญ จะต้องไม่ลืมบริหารจัดการเงินให้ดี กระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์

 

ซานเจย์

 

และสำหรับสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างสินทรัพย์ดิจิทัล ก็ควรใช้เฉพาะเงินเย็นมาลงทุน เพื่อให้พอร์ตของเราสามารถอยู่ยั้งยืนยง ต่อสู้ได้ทุกสภาพเศรษฐกิจ และให้ตัวเราเองยืนระยะลงทุนได้จนบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่เราตั้งเอาไว้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

เชื่อหรือไม่?อีก20ปีมีผู้ใช้คริปโทมากถึง 1 พันล้านคน

"ทรูมันนี่" เปิดพอร์ตคริปโทได้แล้ว! เทรดไม่เป็นก็ลงทุนได้ เริ่มต้นแค่ 3 พันบาท

ทำไม "สิงคโปร์" ถึงไม่อาจเป็น Crypto Hub ของโลกได้

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT