อินไซต์เศรษฐกิจ

ชาตินี้ไม่มีวัน “รวย” ทำไมอเมริกากว่า 74% ทิ้งฝันเป็นเศรษฐี?

26 เม.ย. 65
ชาตินี้ไม่มีวัน “รวย” ทำไมอเมริกากว่า 74% ทิ้งฝันเป็นเศรษฐี?

“อเมริกา” ดินแดนแห่งอิสระเสรี ที่ทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองฝัน ดั่งแนวความคิด “American Dream” ที่เชื่อว่า หากคุณมีความมุมานะ และเก่งจริง คุณก็จะสามารถประสบความสำเร็จแบบ “พลิกชีวิต” ได้
 

แต่แนวคิดดังกล่าวดูเหมือนจะถูกสั่นคลอนด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ที่นับวัน ช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวย คนจนมีแต่จะกว้างขึ้น แถมเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ40ปีขณะนี้ ทำให้โอกาสของการเป็นเศรษฐีน้อยลงไปเรื่อยๆ

 

american2

 
 
74% ของคนอเมริกันถอดใจ ยังไงชาตินี้ก็ไม่ “รวย”

 



งานวิจัยจากบริษัทบริหารความมั่งคั่งดิจิทัล Personal Capital เผยสถิติที่ดูขัดกับแนวคิด อเมริกันดรีม ว่า เพราะพบว่า ชาวอเมริกันกว่า 74% ไม่เชื่อว่าชีวิตนี้พวกเขาจะเป็น “เศรษฐี” ได้ โดยคำนิยามของคำว่า เศรษฐี ในที่นี้ หมายถึง “High Net Worth Individual” หรือ บุคคลผู้มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งมีเกณฑ์ที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ มีทรัพย์สินรวมกันทั้งหมด 1 ล้านดอลลาร์ หรือราว 34 ล้านบาทขึ้นไป

โดยจากการสำรวจ ค่าเฉลี่ยความมั่งคั่งสุทธิ (คิดจากความมั่งคั่งของทุกคนมาเฉลี่ยรวมกัน) อยู่ที่ 5.6 แสนดอลลาร์ ในขณะที่ ค่ามัธยฐานของความมั่งคั่งสุทธิ (ค่าที่เป็นตัวแทนของประชากรส่วนใหญ่) อยู่ที่ 4.6 หมื่นดอลลาร์ สะท้อนว่า มีคนจำนวนน้อยเป็นผู้มีความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณของ “ความเหลื่อมล้ำ” นั่นเอง

เกิดอะไรขึ้นกับ “ความฝันของอเมริกันชน” ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงถอดใจ และหมดความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตที่มั่นคั่งได้?

 000_1gc4n9

อีลิทยิ่งรวย ชนชั้นกลางยิ่งจน

 

ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง เป็นปัญหาที่กัดกินสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน สถิติจาก World Inequality Database ชี้ให้เห็นถึงความน่ากลัวของปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 1978 “ประชาชนชั้นบน 1%” เป็นเจ้าของความมั่งคั่ง 21.5% ของประเทศ ส่วน “ประชาชนชั้นกลาง 40%” เป็นเจ้าของความมั่งคั่ง 34.8% ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา สัดส่วนก็เปลี่ยนไป คนชั้นกลางจนลงเรื่อยๆ ในขณะที่คนรวย รวยขึ้นเรื่อยๆ

 

graph_dl(2)


จนในปี 2019 - 2021 ที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่า “ประชาชนชั้นบน 1%” เป็นเจ้าของความมั่งคั่ง 34.9% ในขณะที่ “ประชาชนชั้นกลาง 40%” เป็นเจ้าของความมั่งคั่ง 27.8% แสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ความเหลื่อมล้ำของสหรัฐ แยกคนรวยออกจากคนชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ

 

istock-913434770

ปัญหาเงินเฟ้อน่าเป็นห่วง

 

ปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังกระทบทั่วโลกอยู่ขณะนี้เอง ก็กำลังเล่นงานอเมริกาอย่างหนัก ตั้งแต่โควิด ตามมาติดๆ ด้วยสงครามรัสเซีย ส่งผลให้ ดัชนีผู้บริโภค หรือ CPI ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนเงินเฟ้อของสหรัฐ สูงขึ้น 8.5% ช่วงสิ้นเดือนมีนาคม นับเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบกว่า 40 ปี นับจากเดือนธันวาคม 1981

สาเหตุจากราคาสินค้า อาหาร และพลังงานที่สูงขึ้นจากผลพวงของสงครามในยูเครน ทำให้ค่าครองชีพของชาวอเมริกันสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ไม่ได้สูงขึ้นตาม นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจซบเซา เงินเฟ้อ และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ยังทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่คึกคัก โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับลงวันเดียว 900 กว่าจุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปีตั้งแต่ปี 63 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

 
คนรุ่นใหม่ ฝากความหวังไว้กับ “คริปโทเคอร์เรนซี”

 

ด้วยปัญหาเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ รวมไปถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่มีโอกาสจะทำให้พวกเขาได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ในโลกแห่งการลงทุนที่ไม่สวยงามดั่งเช่นในตอนนี้

ในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนผู้ถือครองคริปโทเคอร์เรนซีราว 27.5 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 8.31% ของประชากรทั้งหมด (อ้างอิงข้อมูลในปี 2021 จาก triple A) มีการลงทุนในคริปโท ให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งการซื้อขายผ่าน Exchange, Stake เหรียญคริปโท ซื้อขายผ่านกองทุน ETF, หรือแม้แต่ลงทุนในกองทุนเกษียณ 401(K) (คล้ายๆ กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบ้านเรา)

 

pile-gold-bitcoin-money(resiz_1

ผลการสำรวจจาก Investopedia ระบุว่า 28% ชาวอเมริกันในวัยมิลเลเนียลส์ (26 - 41 ปี) เตรียมใช้คริปโทเคอร์เรนซี เป็นสินทรัพย์ในการลงทุนเพื่อการเกษียณ โดยในสหรัฐ มีบริการเพื่อการลงทุนสำหรับการเกษียณที่ให้เลือกลงทุนในคริปโทโดยเฉพาะ ให้บริการด้วย

โดยในปีที่ผ่านมา ช่วงเดือนมีนาคมที่บิตคอยน์มีราคาทะลุ 50,000 ดอลลาร์/บิตคอยน์ “Bitcoin IRA” แพลตฟอร์มการลงทุนในคริปโทเพื่อการเกษียณอันดับ 1 ได้ ประกาศว่า มีผู้ใช้งานทะลุ 100,000 คน แล้ว ล่าสุด เปิดผู้ใช้งานเลือกลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีได้มากกว่า 60 สกุลด้วยกัน

 

american3
 

ด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่นับวันจะมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำเติมด้วยปัญหาเศรษฐกิจ จากปัจจัยภายนอกที่ถาโถมเข้ามา ก่อให้เกิดปัญหาที่เลวร้ายและรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี คงไม่น่าแปลกใจที่อเมริกันชนจะหมดไฟ และทิ้งความฝันที่จะเป็น “เศรษฐี” รวมถึงต้องหาวิธีที่จะทำให้สินทรัพย์ของตัวเองงอกเงยได้มากที่สุดในสภาพตลาดที่ไม่เป็นใจ นึกๆ ไปก็ไม่ต่างจากชะตากรรมที่ประเทศไทยเรา และทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่พร้อมกันขณะนี้

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT