การเงิน

กังวลสงคราม! หุ้นไทยร่วง 45 จุด! แต่ FETCO เผยความเชื่อมั่นนักลงทุนฟื้น เชื่อเงินยังไหลเข้าหุ้นไทย

7 มี.ค. 65
กังวลสงคราม! หุ้นไทยร่วง 45 จุด!   แต่ FETCO เผยความเชื่อมั่นนักลงทุนฟื้น  เชื่อเงินยังไหลเข้าหุ้นไทย

สงครามยูเครน-รัสเซีย ที่มีการสู้รบยืดเยื้อ ส่งผลกดดันภาพการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก ฉุดหุ้นไทยวันนี้ปิดตลาดร่วงแรง 45.02 จุด เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่าประเทศที่ต่าปรับลดลงกันไปทั่วหน้า

 
 
สถานการณ์สครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่ยังมีการสู้รบที่ยังยืดเยื้อยังสร้างความกังวลกดดันบรรยากาศการลทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยวันนี้(7 มี.ค. 65)
 
 
-ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดการซื้อขายที่ 1,626.70 จุด ลดลง 45.02 จุด หรือ ติดลบ 2.69% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 127,806.20 ล้านบาท
 
 
-ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงเกือบ 3% ในวันนี้ โดยดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน โดยปิดตลาดที่ระดับ 25,221.41 จุด ร่วงลง 764.06 จุด หรือ -2.94% ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 2563
 
 
-ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ในวันนี้ ปิดที่ 7,038.60 จุด ลดลง 72.20 จุด หรือ -1.02% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,321.20 จุด ลดลง 74.10 จุด หรือ ติดลบ 1%
 
 
-ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 เดือนในวันนี้ โดยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ปิดที่ 3,372.86 จุด ลดลง 74.79 จุด หรือ ติดลบ 2.17%
 
 
-ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงในวันนี้ ปิดวันนี้ที่ 21,057.63 จุด ลดลง 847.66 จุด หรือ ติดลบ 3.87%
 
 
 
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ประจำเดือน มี.ค. 2565 พบว่า ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าที่ผ่านมาที่ปรับลดลงแรงนั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนจากสถานการณ์สู้รบระหว่างยูเครนกับได้สร้างความผันผวนให้ตลาด
 
 
โดยในระยะสั้นไม่มีใครคาดการณ์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นหากเป็นนักลงทุนระยะสั้น ต้องระมัดระวังมาก อย่ารีบร้อนที่จะเข้าไปลงทุน เพราะไม่มีใครคาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าจะพัฒนาไปทางด้านใด
 
 
ขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาว เชื่อว่า หากไม่รวมในเรื่องของน้ำมัน มองว่า ตลาดหุ้นไทย รวมถึงเอเชียจะมีผลกระทบไม่มาก และยังมีอัพไซต์อยู่พอสมควร ดังนั้นยังคงเป้าหมาย ดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,800 จุด แต่หากราคาน้ำมันปรับขึ้นไปมากกว่านี้ หรือมีสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ รุนแรง ยาวนาน รวมถึงสถานการณ์เงินเฟ้อ และราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก ก็อาจจะต้องมาทบทวนกันอีกครั้ง
 
 
 
“มองระยะกลาง เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับขึ้นได้ และปลายปีนี้ ยังเป็นขาขึ้นหลังจากนี้ไป ปลายปีน่าจะมีผลตอบแทนที่ดี แนะนำระยะกลางยาว ลงทุนได้ ส่วนจะลงทุนเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของนักลงทุน ดังนั้นปีนี้ตลาดหุ้นยังเป็นขาขึ้น น่าจะเห็นดัชนี 1,800 จุด หากทุกอย่างตามแผน วันนี้ ก็ยังไม่เปลี่ยนมุมมอง และยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์สถานการณ์” นายไพบูลย์ กล่าว
 
 
สำหรับในช่วงที่มีสงคราม เชื่อว่า หากเป็นนักลงทุนระยะสั้น ที่ปลอดภัยที่สุด คือ ทองคำ รวมถึงดอลลาร์ เพราะมีความน่าเชื่อถือที่สุดในโลก หรือจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งจะเหมาะกับคนที่กลัวความเสี่ยงมาก
 
 
“มองระยะสั้น SET จะหลุด 1,600 จุดไหม หากตลาดหุ้นอื่นลงมาก ก็ตลาดหุ้นไทยก็จะไปในทิศทางสอดคล้องกันกับตลาดอื่นๆ แต่หากดูพื้นฐานก็ต้องยอมรับว่า เหตุการณ์ระยะสั้นไม่ได้กำหนดด้วยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว เป็น Sentiment มากกว่า เป็นเรื่องคาดเดาได้ยาก” นายไพบูลย์ กล่าว
 
 
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปในอดีต โดยมีสถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับนานาชาติได้ทำไว้ สถิติ ที่ทำไว้ รวบรวม 80 ปี โดยพบมีสงครามเกิดขึ้น 30 ครั้ง และพบว่า ค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นมักตกเร็วและแรง แต่ก็ฟื้นตัวเร็วเช่นกัน โดยเฉลี่ยใช้เวลา 3 อาทิตย์จากวันเกิดเหตุการณ์ไปจนถึงต่ำสุด
 
 
โดยตลาดหุ้นจะปรับลดลงประมาณ 6-8% และจะกลับเข้าสู่ระดับเดิมภายในเวลา 3 อาทิตย์เช่นเดียวกัน และหลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับผลกระทบกับเศรษฐกิจที่มีต่อเหตุการณ์ ถ้าน้อยกว่า 12 เดือนให้หลังหุ้นก็จะขึ้น แต่หากเศรษฐกิจแย่หุ้นก็จะตก
 
 
สำหรับบ ดัชนีความเชื่อในในอีก 3 เดือน ข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 113.03 ดีขึ้นจากเดือนก่อนที่ 93.91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.4% โดยความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับทรงตัว ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ ร้อนแรง
 
 
สำหรับปัจจัยหนุนดัชนีความเชื่อมั่นมากที่สุด คือ เงินทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือ ความคาดหวังต่อการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
 
 
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดใน รัสเซีย—ยูเครน รองลงมาคือความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และสถานการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน
 
 
โดยหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดธนาคาร (BANK) หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดประกันภัยและประกันชีวิต (INSUR) ส่วนปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความคาดหวังเงินทุนไหลเข้า และปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดใน รัสเซียกับยูเครน
 
 
 
 
 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT