
ราคาทองคำเปิดสัปดาห์ด้วยแรงซื้อที่เร่งตัวอย่างชัดเจน โดยทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่เหนือระดับ 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางสัปดาห์การซื้อขายที่ถูกตัดช่วงวันหยุดปลายปีและสภาพคล่องในตลาดที่บางลงเป็นพิเศษ ภาวะดังกล่าวมักทำให้ความผันผวนของราคาขยายตัวมากกว่าปกติ ขณะเดียวกัน ปฏิทินเศรษฐกิจในวันจันทร์แทบไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญ ทำให้ตลาดขาดปัจจัยชี้นำด้านตัวเลขเศรษฐกิจ และนักลงทุนหันมาให้น้ำหนักกับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศความเสี่ยงเป็นหลัก
แรงหนุนสำคัญมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาปะทุในหลายแนวรบ โดยเฉพาะความเสี่ยงของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน หลังมีความกังวลว่าอิหร่านกำลังเดินหน้าฟื้นฟูโครงการเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์และเร่งพัฒนาขีดความสามารถด้านขีปนาวุธ ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่มีท่าทีคลี่คลาย ยังคงตอกย้ำความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และผลักดันให้นักลงทุนกลับมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านราคาทองคำในประเทศวันนี้ ณ เวลา 14:11 น. มีการปรับราคาแล้วถึง 8 ครั้ง โดยทองคำแท่งรับซื้ออยู่ที่บาทละ 64,900.00 บาท และขายออกที่บาทละ 65,000.00 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 63,596.20 บาท และขายออกบาทละ 65,800.00 บาท ส่วนราคาทองคำในตลาดโลก (สปอต) ล่าสุดขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4,412.50 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
ในช่วงเช้าวันนี้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ก่อนทะลุระดับ 4,400 ดอลลาร์และทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยล่าสุดซื้อขายแถว 4,405 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5% ภายในวันเดียว หลังจากสัปดาห์ก่อนหน้าราคาปรับขึ้นมาแล้วมากกว่า 1% การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนท่าทีระมัดระวังของนักลงทุน แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดบวกในวันศุกร์ และสัญญาฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นจะขยับขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นสัปดาห์ก็ตาม ขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบเหนือระดับ 98.50 หลังการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของสัปดาห์ก่อน
แรงกดดันจากฝั่งตะวันออกกลางเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดเข้าสู่โหมดลดความเสี่ยง โดยมีรายงานว่าอิสราเอลกำลังพิจารณาทางเลือกทางทหารต่ออิหร่านอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลต่อความคืบหน้าของโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธ สื่อสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างอดีตเจ้าหน้าที่ที่รับรู้ความเคลื่อนไหวว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เตรียมเข้าพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในเดือนนี้ เพื่อชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการดำเนินปฏิบัติการดังกล่าว
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังยกระดับแรงกดดันต่อเวเนซุเอลาด้วยมาตรการปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตร โดยหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ สามารถสกัดเรือเวเนซุเอลาได้แล้วหนึ่งลำ และอยู่ระหว่างติดตามเรืออีกหลายลำในช่วงเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และยังสะท้อนผ่านตลาดพลังงาน โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ปรับขึ้นมากกว่า 1% มาอยู่ที่ราว 57.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นสัปดาห์
บรรยากาศในตลาดเงินโลกยังสะท้อนการปรับพอร์ตของนักลงทุนในหลายสกุลเงิน ยูโร/ดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังแรงขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ก่อน และปิดลบจนยุติสถิติปรับขึ้นต่อเนื่องสามสัปดาห์ ก่อนทรงตัวเหนือระดับ 1.1700 ในช่วงเช้าของยุโรป ขณะที่ปอนด์/ดอลลาร์เคลื่อนไหวแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อน แม้จะมีความผันผวนหลังการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ ส่วนดอลลาร์/เยนปรับฐานลง หลังจากแข็งค่าขึ้นแรงในวันศุกร์และกลับมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 157.50
ฝั่งเอเชีย ธนาคารกลางจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีทั้งระยะ 1 ปีและ 5 ปีไว้ตามเดิม สะท้อนท่าทีเชิงประคองของนโยบายการเงิน ขณะที่ดอลลาร์ออสเตรเลียได้รับแรงหนุนต่อเนื่อง และขยับขึ้นมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 0.6630 ในช่วงเปิดตลาดยุโรป
ในเชิงเทคนิค การดีดตัวของราคาทองคำจากโซน 4,310-4,305 ดอลลาร์ในช่วงก่อนหน้า ถูกมองว่าเป็นฐานสำคัญของรอบนี้ และเมื่อราคาทะลุแนวต้านบริเวณ 4,345-4,350 ดอลลาร์ได้ ก็ยิ่งกระตุ้นแรงซื้อจากนักลงทุนฝั่งขาขึ้น เนื่องจากเป็นระดับที่มีคำสั่งหยุดขาดทุนของผู้เล่นระยะสั้นสะสมอยู่จำนวนมาก ประกอบกับปริมาณการซื้อขายที่บางลงในช่วงปลายปี ยิ่งช่วยเร่งแรงส่งให้ราคาปรับขึ้นได้รวดเร็ว
อย่างไรก็ดี สัญญาณจากดัชนี RSI ทั้งในกรอบรายชั่วโมงและรายวันเริ่มสะท้อนภาวะ ทำให้ตลาดมีโอกาสเห็นการพักฐานหรือการอ่อนตัวระยะสั้น เพื่อคลายความร้อนแรงก่อนจะเลือกทิศทางถัดไป หากเกิดการปรับฐาน แนวรับแรกยังอยู่บริเวณ 4,350-4,345 ดอลลาร์ ซึ่งอาจดึงดูดแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง ส่วนแนวรับถัดไปอยู่ที่ 4,310-4,305 ดอลลาร์ และหากหลุดระดับดังกล่าว ราคามีโอกาสถอยลงไปทดสอบจุดต่ำของสัปดาห์ก่อนแถว 4,272-4,271 ดอลลาร์ หรืออาจลึกถึงโซน 4,260-4,255 ดอลลาร์ โดยระดับจิตวิทยา 4,200 ดอลลาร์ยังคงเป็นแนวรับสำคัญในกรณีที่แรงขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย
ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นแกนหลักที่พยุงราคาทองคำ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งสหรัฐฯ-เวเนซุเอลา หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านนโยบายการเงินสหรัฐฯ ก็ยังเอื้อต่อทองคำ หลังข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อสะท้อนสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดยังคงคาดหวังท่าทีผ่อนคลายจากธนาคารกลางสหรัฐ
จากการประเมินของตลาดผ่านเครื่องมือ FedWatch นักลงทุนยังให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2569 ซึ่งจำกัดการฟื้นตัวของดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ความไม่แน่นอนยังอยู่ในระดับสูง
ในระยะถัดไป ตลาดจะหันไปจับตาการเผยแพร่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันอังคาร ทั้ง GDP ไตรมาส 3 และคำสั่งซื้อสินค้าคงทน รวมถึงถ้อยแถลงของกรรมการ FOMC ซึ่งอาจมีบทบาทกำหนดทิศทางค่าเงินดอลลาร์และสร้างความผันผวนให้ราคาทองคำในระยะสั้นต่อไป แม้ในภาพใหญ่ แนวโน้มของทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากทั้งปัจจัยเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความคาดหวังต่อท่าทีผ่อนคลายของเฟดก็ตาม