
บิตคอยน์ร่วงแรงต้นธันวาคมกว่า 6% หลัง BOJ ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย เขย่า Yen Carry Trade และสภาพคล่องโลก ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวน นักลงทุนหันหาสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ-ซิลเวอร์พุ่ง
คริปโตเคอร์เรนซีเปิดฉากเข้าสู่เดือนธันวาคมด้วยแรงขายอย่างหนัก ราคาบิตคอยน์ร่วงแรงตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนใหม่ สะท้อนแรงขายที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน และปลุกกระแสความกังวลว่าความปั่นป่วนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอาจลุกลามไปกระทบตลาดหุ้นโลก
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความผันผวนตามฤดูกาล หากแต่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายในระดับมหภาค โดยเฉพาะสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของสภาพคล่องโลก เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเริ่มชัดเจนมากขึ้น ระบบการเงินที่คุ้นชินกับต้นทุนเงินทุนต่ำจึงเผชิญแรงสั่นสะเทือนพร้อมกัน ทั้งในตลาดคริปโต ตลาดหุ้น และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
วันที่ 1 ธันวาคม บิตคอยน์เผชิญแรงขายรุนแรง ราคาร่วงลงมากกว่า 6% ภายในเวลา 24 ชั่วโมง จากระดับเหนือ 91,000 ดอลลาร์ สู่บริเวณราว 85,600 ดอลลาร์ในช่วงบ่ายตามเวลาสหรัฐฯ โดยจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในคืนวันอาทิตย์ เมื่อราคาดิ่งลงกว่า 4,000 ดอลลาร์ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังการซื้อขายเดือนใหม่เริ่มต้นในโซนเอเชีย ความผันผวนฉับพลันดังกล่าวสะท้อนภาพบรรยากาศ “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” ที่แผ่ขยายทั่วตลาดการเงินโลกในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปัจจัยหลักที่นักลงทุนจับตา คือท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งส่งสัญญาณอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมปลายเดือนนี้ เพื่อตอบโจทย์เงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง และตอกย้ำแนวโน้มการถอนตัวออกจากยุคดอกเบี้ยต่ำพิเศษที่ดำเนินมานาน กระแสคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนชัดในตลาดตราสารหนี้ เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุอ้างอิงปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 บ่งชี้ว่าตลาดเริ่มให้น้ำหนักกับฉากทัศน์ดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างจริงจัง
ความเปลี่ยนแปลงนี้สั่นคลอน “Yen Carry Trade” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทำกำไรยอดนิยมของนักลงทุนทั่วโลก ที่อาศัยการกู้เงินเยนซึ่งมีต้นทุนต่ำไปลงทุนในสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนสูง เช่น หุ้นสหรัฐและคริปโต ในช่วงที่ดอกเบี้ยญี่ปุ่นใกล้ศูนย์ เงินเยนถูกมองเป็นแหล่งทุนราคาถูกที่ช่วยขยายผลตอบแทนการลงทุน แต่เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเริ่มเปลี่ยน ค่าเงินเยนย่อมมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ต้นทุนทางการเงินจึงเพิ่มสูง และกำไรจากกลยุทธ์ Carry Trade ถูกบั่นทอนลงอย่างรวดเร็ว
ผลที่ตามมาคือแรงกดดันให้นักลงทุนทยอยคลายสถานะ ขายบิตคอยน์และหุ้นเพื่อนำเงินไปชำระหนี้และลดความเสี่ยง พร้อมกันนั้น กระแสเงินใหม่ที่เคยไหลเข้าสู่คริปโตและตลาดหุ้นเริ่มชะลอตัว โดยแมตต์ มาเลย์ หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Miller Tabak + Co เตือนว่า การคลายสถานะของ Yen Carry Trade มีลักษณะ “ดูดสภาพคล่องออกจากระบบ” และเป็นสัญญาณที่ไม่เป็นบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นในภาพรวม
แรงเทขายในตลาดคริปโตส่งแรงสะเทือนถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยในวันจันทร์ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 427 จุด หรือ 0.9% ขณะที่ S&P 500 ลดลง 0.53% และ Nasdaq Composite ลดลง 0.38% สะท้อนบรรยากาศการลงทุนที่กลับสู่โหมดระมัดระวัง บิตคอยน์หลุดต่ำกว่า 84,000 ดอลลาร์ในช่วงเช้าก่อนจะฟื้นเล็กน้อยในช่วงบ่าย ส่วนตลาดคริปโตโดยรวมยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน อีเธอร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับสองตามมูลค่าตลาด ปรับตัวลงเกือบ 9% ภายในวันเดียว
ความอ่อนแรงรอบล่าสุดต่อเนื่องจากแรงเทขายหนักปลายเดือนพฤศจิกายน เมื่อบิตคอยน์ไหลลงไปอยู่เพียงเหนือ 80,000 ดอลลาร์ ลดลงราว 35% จากจุดสูงสุดแถว 126,000 ดอลลาร์ในต้นเดือนตุลาคม แรงกดดันดังกล่าวฉุดตลาดหุ้นลงตามไปด้วย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ดัชนี S&P 500 เคยทรุดเกือบ 5% ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ก่อนดีดกลับเล็กน้อยจนปิดเดือนในแดนบวกอย่างเฉียดฉิว ขณะที่ Nasdaq เผชิญเดือนติดลบครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม
ท่ามกลางความผันผวน นักลงทุนหันไปพักเงินในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและเงิน ส่งผลให้ราคาซิลเวอร์พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในวันจันทร์ ทั้งจากภาพลักษณ์เป็น “ทางเลือกที่ถูกกว่าทองคำ” และแรงหนุนจากอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้ราคาซิลเวอร์ในปีนี้ปรับขึ้นเกือบเท่าตัว ตรงข้ามกับคริปโตที่ยังแกว่งแรง โดยบิตคอยน์ติดลบใกล้ 9% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ S&P 500 เพิ่มขึ้นราว 16% และทองคำพุ่งเกือบ 62%
แม้ภาพรวม S&P 500 จะยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดช่วงปลายตุลาคมไม่ถึง 2% และสถิติชี้ว่าเดือนธันวาคมมักเป็นช่วงที่ตลาดทำผลงานได้ดี รวมถึงความคาดหวังว่าเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ แต่ความผันผวนอาจยังไม่ยุติลงง่าย ๆ เมื่อบิตคอยน์ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดมากกว่า 30% และความกังวลต่อการคลายสถานะ Yen Carry Trade ยังคงกดทับความเชื่อมั่นนักลงทุน
มาเลย์ประเมินว่า ตลาดหุ้นกำลังยืนอยู่บน “จุดหัวเลี้ยวหัวต่อ” โดยความเคลื่อนไหวจากญี่ปุ่นเพิ่มระดับความไม่แน่นอนต่อโอกาสการปรับขึ้นช่วงปลายปี และตราบใดที่แรงกดดันจากการถอนสภาพคล่องยังไม่คลี่คลาย สัญญาณเชิงบวกสำหรับตลาดก็อาจยังไม่ปรากฏชัดในระยะใกล้