
ค่าเงินเปโซของฟิลิปปินส์ดิ่งลงอย่างรุนแรงใกล้ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ สะท้อนความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนต่อเศรษฐกิจและรัฐบาล มูลเหตุไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแรงกดดันจากดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า แต่เกิดจากจุดอ่อนภายในประเทศเองอย่างคดีทุจริตโครงการโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ามหาศาล ซึ่งกลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจและบีบให้ธนาคารกลางต้องคงท่าทีผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ฟิลิปปินส์ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่มีศักยภาพและความยืดหยุ่นสูง กำลังเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค่าเงินเปโซอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดระหว่างวันที่ 59.262 เปโซต่อดอลลาร์ ต่ำกว่าสถิติเดิมในปี 2565 ที่ 59.168 ก่อนปิดตลาดในวันเดียวกันที่ระดับ 58.9 เปโซต่อดอลลาร์
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (Bangko Sentral ng Pilipinas: BSP) ออกแถลงการณ์ระบุว่า การอ่อนค่าของค่าเงินสะท้อนถึงความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาการใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงความคาดหวังว่าธนาคารกลางอาจผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในระยะต่อไป
เพียงไม่กี่ปีก่อน ฟิลิปปินส์เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดในเอเชีย ตัวอย่างเช่นในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อค่าเงินของหลายประเทศในภูมิภาคเผชิญแรงกดดันจากภาษีศุลกากรและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงินเปโซกลับโดดเด่นขึ้นมาในฐานะสกุลเงินที่มีความมั่นคงระดับภูมิภาค รายได้สกุลดอลลาร์จากแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ (OFWs) ที่ส่งกลับประเทศอย่างต่อเนื่อง ช่วยพยุงค่าเงินและเสริมกำลังซื้อภายในประเทศ ซึ่งพึ่งพาการบริโภคในประเทศเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงดังกล่าวกำลังถูกสั่นคลอน หลังคณะกรรมาธิการปราบปรามการทุจริตที่ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ตั้งขึ้น เผยผลสอบสวนชี้ให้เห็นถึงการทุจริตเชิงระบบในหลายหน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่การปลอมแปลงสัญญา การยักยอกงบประมาณ ไปจนถึงโครงการสาธารณะที่มีการเบิกงบประมาณแต่ไม่เคยดำเนินการจริง ประเด็นดังกล่าวกระทบโดยตรงต่อโครงการ “Build, Better, More” ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติ
ผลกระทบสะท้อนชัดในตัวเลขเศรษฐกิจ ข้อมูลจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ระบุว่า GDP ไตรมาส 3 ปี 2568 ของฟิลิปปินส์ขยายตัวเพียง 4.0% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 5.24% และถือว่าชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2464 ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า หากงบโครงสร้างพื้นฐานไม่รั่วไหล เศรษฐกิจอาจโตใกล้ 6% ได้อย่างสบาย
รัฐมนตรีคลัง ราล์ฟ เรคโต กล่าวต่อวุฒิสภาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมว่า “ปัญหาคอร์รัปชันทำให้ความพยายามในการจัดเก็บรายได้ชะลอตัว ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ”
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงกำลังส่งผลกระทบชัดเจนในตลาดทุนและตลาดเงินของฟิลิปปินส์ ไมเคิล เอ็นริเกซ ประธานบริษัท Sun Life Investment Management and Trust ระบุว่า “ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ครั้งนี้ค่าเงินเปโซตอบสนองอย่างรุนแรง เพราะตลาดขาดความเชื่อมั่นในนโยบายและสถาบันรัฐ” พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจำเป็นต้องแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากการสอบสวนเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
ปัจจุบัน เงินทุนยังไหลออกจากฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติต่างเทขายขายสินทรัพย์สกุลเปโซทั้งหุ้นและพันธบัตร ขณะเดียวกันนักลงทุนในประเทศเองก็เริ่มนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ
หนึ่งในนักการเงินระดับสถาบันให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ว่า “นักลงทุนไม่ได้หนีเพราะเศรษฐกิจอ่อนแอ แต่เพราะขาดความซื่อสัตย์ในระบบการบริหารจัดการ” พร้อมเสนอให้รัฐบาล “เอาผิดผู้กระทำผิดและบังคับคืนเงินที่ยักยอกไป เพื่อฟื้นความไว้วางใจของตลาด”
ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ ภายใต้การนำของผู้ว่าการ เอลิ เรโมโลนา ได้ตอบสนองต่อกระแสเงินทุนไหลออกด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25 จุด จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.75% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
จูน เนรี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร BPI ระบุว่า “การที่ค่าเงินเปโซอ่อนค่าหลุดระดับ 59 ต่อดอลลาร์ สะท้อนว่าธนาคารกลางไม่ได้มุ่งตรึงค่าเงิน แต่ให้ความสำคัญกับการควบคุมความผันผวนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อเงินเฟ้อ”
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เตือนว่าการอ่อนค่าของค่าเงินอาจเพิ่มภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน เนื่องจากฟิลิปปินส์พึ่งพาการนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าในหมวดพลังงานและอาหาร “ค่าเงินที่อ่อนลงหมายถึงต้นทุนน้ำมันและภาระหนี้นำเข้าที่สูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นแรงถ่วงต่อการเติบโตในระยะถัดไป” โรเบิร์ต แดน โรเซส นักเศรษฐศาสตร์จาก SM Group กล่าว
นอกจากแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว ปัจจัยภายนอกก็ยิ่งซ้ำเติมภาวะตึงตัวของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์เพิ่มเติม โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ภายใต้แรงหนุนจากการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ แม้นโยบายการค้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะสร้างแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจและการเมืองกับหลายประเทศทั่วโลกก็ตาม
“ความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจสหรัฐทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงฟิลิปปินส์” ลีโอนาร์โด ลันโซนา ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila กล่าว พร้อมเสริมว่า “ภาษีศุลกากรสูง ดุลการค้าขาดดุล และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ต่างทำให้ค่าเงินเปโซอ่อนลงต่อเนื่อง”
แม้เงินโอนจากแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศจะยังคงเป็นเส้นเลือดหลักของเศรษฐกิจ โดยในเดือนสิงหาคม 2568 ยอดโอนผ่านธนาคารเพิ่มขึ้น 3.2% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 2.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่แรงหนุนนี้กำลังถูกหักล้างด้วยภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น เดือนกันยายนที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โรเบิร์ต แดน โรเซส วิเคราะห์ว่า “แม้เงินโอนจากต่างประเทศจะช่วยเสริมกำลังซื้อของครัวเรือน แต่ราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วกำลังลบผลประโยชน์ส่วนใหญ่ที่ได้จากค่าเงินอ่อน” ขณะเดียวกัน ผู้จัดการกองทุนจำนวนมากเริ่มประเมินความเสี่ยงใหม่ โดยมองว่าปัญหาหลักไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่คือ “ความไม่ซื่อสัตย์ในระบบราชการ” ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างรุนแรง
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์เตรียมจัดการประชุมนโยบายครั้งสุดท้ายของปีในวันอังคารนี้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วงเทศกาลปลายปีมักทำให้ความต้องการดอลลาร์เพิ่มขึ้นจากการนำเข้าสินค้าและของขวัญ ส่งผลให้ค่าเงินเปโซถูกกดดันต่อเนื่องโดยธรรมชาติ
สำหรับรัฐบาลมาร์กอส จูเนียร์ วิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่เพียงคดีคอร์รัปชัน หากแต่เป็น “บททดสอบความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจของชาติ” ซึ่งอาจกำหนดทิศทางการเติบโตและความมั่นคงของฟิลิปปินส์ในปีต่อไป
ที่มา: Nikkei Asia