ราคาทองคำกำลังร้อนแรงส่งท้ายปี! ฮั่วเซ่งเฮงปรับคาดการณ์สิ้นปีขึ้นแตะ 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 56,000 บาทต่อบาททอง สะท้อนแนวโน้มขาขึ้นที่ยังแข็งแรง แรงหนุนมาจากทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ การลดดอกเบี้ยของเฟด และกระแสซื้อทองจากธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้ทองคำกลับมาโดดเด่นในฐานะ “สินทรัพย์หลบภัย” ที่นักลงทุนหันมาถือเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ท่ามกลางความผันผวน กลยุทธ์การลงทุนจึงต้องยืดหยุ่น นักลงทุนระยะสั้นสามารถใช้บัญชี FCD ซื้อขายทองคำดอลลาร์เพื่อลดความเสี่ยงค่าเงิน ส่วนผู้มองยาวยังได้เปรียบจากการสะสมทองคำแท่ง ขณะที่รายย่อยก็มีทางเลือกการออมทองทีละน้อย ตอบโจทย์ราคาที่สูงขึ้น ด้านตลาดฟิวเจอร์สยังคงคึกคัก และเตรียมเสิร์ฟผลิตภัณฑ์ใหม่ไร้วันหมดอายุ เพิ่มสภาพคล่องและโอกาสทำกำไรให้มากขึ้น ตอกย้ำว่าทองคำยังเป็นดาวเด่นของการลงทุนในโค้งสุดท้ายปีนี้ และมีแรงส่งต่อเนื่องถึงปีหน้า
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า บริษัทปรับประมาณการราคาทองคำโลกช่วงปลายปี 258 ขึ้นมาอยู่ที่ราว 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดิมที่คาดไว้เพียง 3,000 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศคาดว่าจะเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 56,000 บาทต่อบาททอง แนวโน้มนี้ชี้ว่าทองคำยังคงเป็นขาขึ้น และมีโอกาสปรับขึ้นต่อในปีหน้า โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากทั้งแรงซื้อเชิงยุทธศาสตร์ของธนาคารกลางและแรงเก็งกำไรจากนักลงทุนทั่วโลก
ราคาทองคำในปัจจุบันได้แรงหนุนจากปัจจัยระหว่างประเทศหลายด้าน โดยเฉพาะมาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่กำลังถูกท้าทายในศาล การพิจารณาอุทธรณ์ครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพการค้าโลก หากศาลมีคำตัดสินยืนตามมาตรการเดิม การใช้ภาษีอย่างเข้มงวดจะซ้ำเติมความเปราะบางของระบบการค้าและก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดการเงินทั่วโลก แต่หากศาลเห็นว่าต้องปรับแก้ ก็ยังมีคำถามว่าการคืนภาษีที่เก็บไปแล้วจะทำได้อย่างไร และกระบวนการเจรจาระหว่างประเทศคู่ค้าจะดำเนินไปในทิศทางไหน ความไม่แน่นอนเหล่านี้ล้วนทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง
อีกแรงหนุนสำคัญคือการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งชัดเจนว่ากำลังเข้าสู่รอบการปรับลดดอกเบี้ย จากที่ก่อนหน้านี้ประเมินว่าจะลดสองถึงสามครั้งในปีนี้ ปัจจัยที่กดดันเฟดให้ต้องลดดอกเบี้ยมาจากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การประชุมเฟดในวันที่ 16–17 กันยายนถูกจับตาว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการลดดอกเบี้ยอย่างเป็นรูปธรรม การผ่อนคลายนี้เป็นผลบวกโดยตรงต่อทองคำ เพราะลดต้นทุนการถือครองและทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง
ในอีกด้านหนึ่ง ความไม่แน่นอนที่เกิดจากการแทรกแซงเชิงนโยบายและความผันผวนของเฟดเองก็ทำให้ภาพลักษณ์ของดอลลาร์ในฐานะเงินสกุลหลักถูกตั้งคำถาม ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงในช่วงที่ผ่านมาเปิดทางให้ทองคำแข็งค่ามากขึ้น สะท้อนผ่านแรงซื้อของกองทุน ETF ที่กลับมาเข้าซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปี โดยมียอดซื้อราว 420 ตันในเจ็ดเดือนแรกของปีนี้ และเมื่อรวมกับการเข้าซื้อของธนาคารกลางหลายประเทศที่หันมากระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์ ทำให้ความต้องการทองคำในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยสื่อในต่างประเทศรายงานว่าปริมาณการซื้อของธนาคารกลางอาจแตะระดับ 700 ตันภายในสิ้นปี ซึ่งจะกลายเป็นแรงสนับสนุนเชิงโครงสร้างที่สำคัญต่อราคาทองคำ
หากมองภาพทุนสำรอง ฝั่งประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ส่วนใหญ่มีทองคำคิดเป็นกว่า 70% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ ตรงข้ามกับประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่สัดส่วนยังต่ำ แต่กลับเร่งสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะคู่แข่งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างจีนและรัสเซียที่พยายามลดบทบาทการถือครอง พันธบัตรสหรัฐฯ และดอลลาร์สหรัฐ แล้วหันมาสะสมทองคำแทน
ในหมู่ประเทศเกิดใหม่ทั้งหมด จีนเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด โดยสถิติระบุว่าธนาคารกลางจีนซื้อทองต่อเนื่องมาหลายปี อินเดียและตุรกีก็เป็นผู้เล่นหลักในแนวโน้มเดียวกัน แม้บางช่วงราคาทองสูงทำให้การซื้อชะลอ แต่แทบไม่เคยขายออกเลย กลับรอจังหวะราคาปรับลงแล้วซื้อเพิ่ม เป็นสัญญาณว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ยุทธศาสตร์ สำหรับประเทศเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาทองคำโลกในระยะกลางถึงยาว
นอกจากนี้ ในบริบทของไทย ค่าเงินบาทยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคาทองคำในประเทศ ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องจากทั้งแรงขายดอลลาร์และการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศถูกลงในเชิงต้นทุน ทำให้นักลงทุนไทยยังคงเข้าซื้อทุกครั้งที่ราคาทองย่อตัว ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่าโอกาสที่ราคาทองคำไทยจะขึ้นไปอีกในปีหน้าอาจเป็นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับทิศทางราคาสปอตโลกที่ยังอยู่ในขาขึ้น
นายธนรัชต์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมดดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนทองในระยะนี้จึงมีความหลากหลาย นักลงทุนที่เน้นทำกำไรระยะสั้นสามารถใช้กลไกการซื้อขายทองคำในสกุลดอลลาร์ผ่านบัญชี FCD เพื่อเก็บกำไรและลดความเสี่ยงค่าเงินได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เงินบาทแข็ง ขณะที่ผู้ที่มองระยะยาวยังคงได้เปรียบจากการสะสมทองคำแท่ง เพราะแนวโน้มในภาพใหญ่ยังเป็นขาขึ้น สำหรับผู้ลงทุนรายย่อย การออมทองในหน่วยเล็ก ๆ เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดภาระต้นทุนต่อครั้ง ท่ามกลางราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก
ในส่วนของตลาดฟิวเจอร์ส ความคึกคักยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่คุ้นเคยกับการซื้อขายบนกระดาน โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์สเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยม และในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ยังเตรียมจะออกฟิวเจอร์สทองคำรูปแบบใหม่ที่ไม่มีวันหมดอายุ การซื้อขายลักษณะนี้คล้ายกับการซื้อขายสปอตทองคำในรูปดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ตลาดทองคำในประเทศมีสภาพคล่องมากขึ้น
โดยภาพรวมแล้ว ราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากหลายทิศทาง ทั้งการลดดอกเบี้ยของเฟด ความอ่อนค่าของดอลลาร์ ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แรงซื้อจาก ETF และธนาคารกลาง รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้แนวโน้มทองคำใน Q4 ปีนี้ยังคงเป็นเชิงบวก และยังมีโอกาสต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
ในด้านการบริโภคทองคำ 15 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคไทยยังครองอันดับหนึ่งในอาเซียน แม้สองสามปีหลังเวียดนามและอินโดนีเซียเริ่มเติบโตเร็วขึ้น แต่ไทยยังมีจุดแข็งด้านงานทองรูปพรรณฝีมือ วัฒนธรรมการให้ทองในเทศกาลสำคัญ เช่น งานแต่งงาน ตรุษจีน หรือพิธีเกิดใหม่
ในปี 2568 แม้การบริโภคฝั่งเครื่องประดับลดลงจากราคาที่สูงขึ้น แต่ฝั่งการซื้อทองเพื่อลงทุนกลับพุ่ง โดยความต้องการทองคำของผู้บริโภคไทยเพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะความต้องการทองคำแท่งและเหรียญที่พุ่งขึ้น 38% ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียน ในทางกลับกัน ความต้องการเครื่องประดับทองกลับลดลงถึง 20% ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
นายธนรัชต์ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ชาติที่รักทองคำ” เท่านั้น แต่ยังถือเป็น “มหาอำนาจด้านทองคำ” ของภูมิภาคอีกด้วย ความต้องการทองคำของผู้บริโภคไทยยังคงแข็งแกร่ง แม้ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม โดยหากมองในระยะยาว ไทยครองอันดับ 1 ของอาเซียน และอันดับ 3 ของเอเชีย ในด้านความต้องการทองคำตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
ในปี 2567 ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญของไทยอยู่ที่ 39.8 ตัน ทำให้อยู่อันดับ 7 ของโลก เพิ่มขึ้นถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ความต้องการเครื่องประดับทองของไทยลดลงเพียง 1% ซึ่งถือว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่หดตัวมากถึง 11% สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของไทยที่ยังคงเป็นตลาดหลักด้านทองคำ แม้เผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ ในการประชุม Thailand Gold Forum 2025 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายธนรัชต์ ยังเปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ของกลุ่มฮั่วเซ่งเฮงซึ่งมุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำของอาเซียน บทบาทนี้ดำเนินการผ่านการพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์เชื่อมภูมิภาค ยกระดับฝีมือช่างทอง และลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเรียกร้องความร่วมมือจากภาคเอกชน หน่วยงานกำกับดูแล และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างระบบนิเวศทองคำที่แข็งแรงและยั่งยืน เขาย้ำว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนยกระดับไปพร้อมกัน ทั้งมาตรฐานที่สูงขึ้น ความเสี่ยงและต้นทุนที่ลดลง และผลประโยชน์ที่ตกแก่ผู้บริโภค
ฮั่วเซ่งเฮงประกาศ วิสัยทัศน์ “สามเสาหลักเชิงกลยุทธ์” ได้แก่ การยกระดับมาตรฐานและความโปร่งใส การสร้างความร่วมมือเชิงระบบ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก หัวใจสำคัญคือการสร้าง “ความน่าเชื่อถือ” ของระบบทั้งหมด ตั้งแต่คุณภาพงานฝีมือ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ การขนส่งที่เชื่อถือได้ ไปจนถึงกรอบกำกับดูแลและการคุ้มครองผู้บริโภคที่ชัดเจน เมื่อมาตรฐานและความโปร่งใสเกิดขึ้นจริง จะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ และทำให้ไทยยืนหยัดได้บนเวทีโลกอย่างมั่นคง
ในด้านบริการ บริษัทมุ่งพัฒนาช่องทางที่เข้าถึงง่ายและตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นสาขาหน้าร้าน แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือการเชื่อมต่อพันธมิตร โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การยืนยันตัวตนดิจิทัล การทำธุรกรรมเรียลไทม์ และเครื่องมือส่งเสริมวินัยการออม เพื่อสร้างความสะดวกและปลอดภัยมากกว่าการเร่งขยายผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง
ปีนี้ยังเป็นวาระครบรอบ 75 ปีของฮั่วเซ่งเฮง จากจุดเริ่มต้นธุรกิจทองรูปพรรณ สู่การลงทุนทองคำแท่ง และแพลตฟอร์มออนไลน์บนมือถือ จนทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนาตลาดทองคำได้เร็วที่สุดในโลก ไม่จำกัดแค่ระดับอาเซียน แต่ขยายสู่การเชื่อมโยงระดับภูมิภาคทั้ง B2C และ B2B บริษัทเปิดสำนักงานที่สิงคโปร์ มีเครือข่ายค้าขายกับอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา และเตรียมบุกเวียดนามซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญ บทบาทดังกล่าวทำให้ไทยถูกมองว่าเป็น Strategic Location ของอาเซียน ที่สามารถรวบรวมสภาพคล่องทองคำในภูมิภาค และดึงให้ผู้เล่นจากฝั่งตะวันตกต้องเข้ามามีส่วนร่วม
ตลาดทองคำไทยยังได้ปรับจากระบบ OTC หน้าร้านสู่ระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ผู้ประกอบการรายใหญ่รวมถึงฮั่วเซ่งเฮงจึงร่วมกับสมาคมค้าทองคำจัดตั้ง Self-Regulated Organization (SRO) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและลดความเสี่ยง เช่น การกำหนดสัดส่วนการสำรองเงินสดและทองคำขั้นต่ำ มาตรฐานร้านทองออนไลน์ที่ต้องมีหน้าร้านจริง รวมถึงทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ ทั้งนี้ยังมีการใช้ระบบ KYC และตรวจสอบบัญชีลูกค้าแบบเรียลไทม์ เชื่อมฐานข้อมูลกับ ปปง. และปิดช่องทางผู้มีประวัติอาชญากรรมและผู้ถูกคว่ำบาตร ขณะเดียวกันระบบชำระเงินก็เชื่อมกับธนาคารได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มทั้งความปลอดภัยและความเชื่อมั่น
ในด้านการเงิน ตลาดทองคำไทยเน้นการซื้อขายแบบ Fully Paid ลูกค้าต้องชำระเต็มจำนวนและบริษัทล็อกราคาทันที จึงไม่ใช่การใช้เลเวอเรจที่เสี่ยงสูง ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงและทำให้กระแสเงินสดของธุรกิจแข็งแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้โครงสร้างบุคลากรก็เปลี่ยนไป ฝั่ง Front Office มีเจน Z นักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามามากขึ้น ส่วน Back Office ดึงมืออาชีพจากธนาคารและสถาบันการเงินมาช่วยงานด้าน Compliance และ Risk Control ยกระดับธุรกิจทองคำไทยสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
การจัดงาน Thailand Gold Forum ซึ่งปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ได้รับความสนใจสูง และสะท้อนว่าตลาดทองคำอาเซียนกำลังขยายตัว แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ปริมาณซื้อขายหลักยังคงอยู่ที่ไทย แม้สิงคโปร์พยายามสร้างสมาคมทองคำเพื่อเป็นศูนย์กลางเอเชียตะวันออก แต่สภาพคล่องและความแข็งแกร่งของตลาดยังคงกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งตอกย้ำบทบาทศูนย์กลางที่ผู้ประกอบการค้าทองคำและฮั่วเซ่งเฮงช่วยผลักดันขึ้นมา