Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
5 เรื่องที่ผม (น่าจะ) รู้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นฟรีแลนซ์
โดย : ถนอม เกตุเอม

5 เรื่องที่ผม (น่าจะ) รู้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นฟรีแลนซ์

5 ก.ย. 68
16:39 น.
แชร์

กลางดึกคืนหนึ่ง ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราควรจัดการชีวิตต่อจากนี้ยังไงดี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาได้สักพัก และคิดว่าเรากำลังเข้าสู่การทำงาน “อิสระ” อย่างเต็มตัว

รู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้วครับ คิดย้อนกลับไปก็เสียดายว่า มันมีหลายอย่างที่ควรจะรู้ก่อน โดยเฉพาะไอ้คำว่างาน “อิสระ” ที่ว่า เอาเข้าจริงมันอาจจะไม่ได้อิสระอย่างที่คิดก็ได้ ถ้าเราไม่เข้าใจการทำงานและชีวิตที่เราอยากจะเป็น

และนี่คือ 5 เรื่องที่ผมคิดว่าถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมอยากจะบอกให้คนที่เริ่มต้นเป็นฟรีแลนซ์ทุกคนรู้ 

1. เปลี่ยนความคิดจาก "รับจ้าง" มาเป็น "เจ้าของธุรกิจ"

หลายคนอาจจะบอกว่า ทำไมต้องคิด แต่จริง ๆ แล้วการคิดที่ว่านี้มีผลต่อชีวิตของเรามาก เพราะในปีแรก ๆที่เป็นฟรีแลนซ์ ผมยังคิดแบบคนทำงานอยู่ นั่นคือ รอให้ลูกค้าสั่งงานมา แล้วทำตามที่เขาขอตามที่จ้าง แต่ไม่คิดว่าจะ “สร้าง” ตัวตนหรือธุรกิจออกมาอย่างไร 

การสร้างมูลค่าในงานเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกครับ ไม่งั้นเราจะทำได้แค่การเป็น "แรงงานรับจ้าง" ที่ทำแต่งานที่ “จ้างมา” แต่ไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นที่จะทำให้เราเติบโต เชี่ยวชาญ หรือ มองเห็นโอกาสมากกว่านี้ 

มีวันนึงลูกค้าถามผมว่า "ถ้าให้คุณเสนอไอเดีย คุณคิดว่าเราควรทำยังไง” ผมจึงเริ่มเข้าใจว่า “ตัวตน” และการมีจุดยืนในการทำงานของเราสำคัญ นั่นคือจุดเริ่มทีทำให้ผมคิดในมุมมองเจ้าของธุรกิจมากขึ้น

ผมเริ่มสร้างมูลค่าจากการทำงานหลากหลายขึ้น มองเห็นความเชี่ยวชาญของตัวเองที่ทำงานไหนได้ดีและใช้เวลาน้อย เพื่อที่จะต่อยอดให้ตัวเองทำงานที่มีมูลค่ามากขึ้น ไม่ใช่แค่ทำงานได้เหมือนเดิมไปตลอด เพราะคนใหม่ ๆ พร้อมเข้ามาแทนที่ราคาก็ถูกกว่า งานก็มีจำกัด 

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องคิดตั้งแต่วันแรก คือ งานที่ทำวันนี้จะต่อยอดอะไรได้บ้าง? มันจะทำให้เราเชี่ยวชาญขึ้นไหม หรือมันจะขยายไปเป็นบริการอื่น ๆ ได้หรือเปล่า? เพราะถ้าไม่มองว่าเป็นธุรกิจ เราจะติดอยู่ในกับดักหาเงินวันต่อวันไปเรื่อย ๆ 

2. การจัดการเงินที่มีประสิทธิภาพสำคัญมาก เพราะเงินนั้นหายได้ 

“รายได้ฟรีแลนซ์ไม่มีการันตี มีแต่งานมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ผมเคยบอกตัวเองแบบนี้ แต่สิ่งที่หนักกว่านั้นคือ “ทำมากได้่มากแต่เก็บเงินไม่ได้” ซึ่งมีความหมายอยู่ 2 แบบซ่อนอยู่ 

แบบแรก ผมเคยได้งานใหญ่ๆ มาหนึ่งโปรเจกต์ มูลค่าหลักแสน ลูกค้าบอกว่าจะจ่ายเงินเมื่องานเสร็จ 100% แต่ทันทีที่ส่งงานไป ลูกค้าบอกว่าขอโทษทีไม่เอาแล้ว เพราะว่าผมไม่มีหลักฐานหรือเอกสารตกลงการจ้างงาน เช่น ใบเสนอราคา สัญญาจ้าง ฯลฯ แบบนี้งานเสร็จแต่ไม่ได้เงิน 

อีกแบบหนึ่ง ผมทำงานเสร็จดี เอกสารครบ แต่ลูกค้าลืมบอกไปว่า ขอเครดิต 90 วัน นั่นยิ่งสะท้อนให้ผมเห็นว่า การบริหารจัดการเงินสำคัญมาก ผมจึงพยายามแยกทุกอย่างให้เป็นระบบมากขึ้นทั้งเอกสารที่ต้องมีให้ลูกค้า และเงินที่ต้องสำรองไว้ในการจัดการธุรกิจและดูแลตัวเอง  ซึ่งเรื่องนี้เชื่อมโยงกับข้อต่อไป นั่นคือ เงินสำรอง

3. สร้างเงินสำรองเพื่อความมั่นคง

ถึงแม้ว่าจะเก็บเงินลูกค้าได้ แต่ถ้าเราบริหารเงินส่วนตัวได้แย่ เราก็มีปัญหา คำถามคือ เราจะต้องมีเงินสำรองเท่าไรถึงจะพอ สำหรับผมแล้วมองการคำนวณเงินสำรองที่ควรมีอยู่ที่ ภาระ และ ระดับ 

ภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนของเราคือเท่าไร เช่น ถ้าเดือนละ 22,000 บาท เราอาจจะกำหนดระดับไว้เพื่อให้เห็นว่าเราปลอดภัยแค่ไหน เช่น ระดับขั้นต่ำ (3 เดือน) 66,000 บาท ระดับปลอดภัย (6 เดือน) 132,000 บาทหรือ ระดับสบายใจ (12 เดือน): 264,000 บาท

แต่ถ้าหากให้ดี อาจจะต้องแยก เงินสำรองสำหรับธุรกิจด้วย โดยการแยกระหว่างบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจแยกจากกัน เงินสำรองส่วนตัวเป็นการใช้ส่วนตัวเท่านั้น ส่วนเงินของธุรกิจเราก็จะแยกอีกส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้ปะปนกัน

เรื่องนี้สำคัญที่ความเข้าใจและรายละเอียดครับ ถ้าใครเข้าใจ วิเคราะห์ และรู้จักตัวเองดีก็จะทำให้กำหนดเงินเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น 

อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องภาษี

4. รู้ภาษีมาก ประหยัดได้มาก

นอกจากเข้าใจเรื่องเก็บเงิน เอกสารแล้ว เข้าใจเรื่องภาษีด้วย โดยผมแยกเป็น 2 เรื่องที่ต้องเข้าใจโดยเฉพาะฟรีแลนซ์มือใหม่ครับ 

ภาษีเงินได้ : ทุกครั้งที่มีรายได้ เราต้องเก็บรายได้นั้นมายื่นและคำนวณภาษีเสมอ ไม่ว่าจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้หรือไม่ และถ้าถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เราจำเป็นต้องได้รับเอกสารยืนยันที่ชื่อว่าหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) 

หน้าที่ของเราคือรวบรวมรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการทำงาน (ทั้งที่ถูกหักและไม่ถูกหักภาษี) มายื่นภาษีประจำปีให้ถูกต้อง และรวบรวมเอกสารถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ครบถ้วน เพื่อใช้ในการหักออกจากยอดภาษีที่คำนวณได้ และบางคนอาจจะได้คืนภาษีจากส่วนนี้ครับ 

ภาษีมูลค่าเพิ่ม : ถ้าคุณเป็นฟรีแลนซ์เติบโตยิ่งใหญ่มีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้าน แปลว่ามีโอกาสมาก ๆ ที่คุณจะต้องเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิมและจดทะเบียนให้ถูกต้องด้วยนะครับ

สำหรับเรื่องภาษีหลักการจริง ๆ ที่ผมอยากเน้น มีอยู่สองเรือง นั่นคือ รู้รายได้ที่เรามี ซึ่งจะรู้ได้ดีก็แปลว่าเราต้องแยกบัญชี จัดการให้เรียบร้อย และจัดการเอกสารให้เรียบร้อย เท่านี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วครับ 

5. ความรับผิดชอบต่อตนเองสำคัญที่สุด 

เมื่อลาออกจากงานประจำ ผมถึงได้รู้ว่า "สวัสดิการ" ที่ได้จากงานประจำมันไม่ติดตามเรามา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไร มีปัญหาตรงไหน คุณต้องรับผิดชอบจัดการตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ทุกอย่างที่คุณทำต้องเหมาะสมกับขีวิตและความเสี่ยงของคุณ

อีกเรื่องคือแผนการเก็บเงินสำหรับเกษียณ ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนว่าไกล แต่ถ้าไม่เริ่มทำตั้งแต่เนิ่น ๆ คุณจะลำบาก ดังนั้น การวางแผนการเงินในส่วนนี้จะช่วยให้คุณปลอดภัยในวันที่คุณต้องหยุดทำงาน 

เอาจริง ๆ เรืองนี้มีหลายอย่างที่ต้องคิดและพิจารณาอยู่เสมอครับ แต่จุดสำคัญ คือ เราต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง ไม่ใช่เอาคำว่าเป็นอิสระมาเป็นข้ออ้างในการตามใจเพื่อใช้ชีวิต 

สุดท้ายแล้ว ผมมองว่าการเป็นฟรีแลนซ์ไม่ใช่แค่การ "ทำงานอิสระ" แต่เป็นการ "สร้างธุรกิจของตัวเอง" ที่ต้องใช้ทั้งความรู้ ทักษะ และการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะทุกคนล้วนเริ่มต้นจากการเป็น "มือใหม่" เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างคือ ความตั้งใจที่จะเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังคิดจะเป็นฟรีแลนซ์ หรือเพิ่งเริ่มต้นไม่นาน ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เลือกนะครับ!

ถนอม เกตุเอม

ถนอม เกตุเอม

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เจ้าของเพจ TAXBugnoms

แชร์
5 เรื่องที่ผม (น่าจะ) รู้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นฟรีแลนซ์