นอกจาก Ethereum ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากกฎหมาย GENIUS Act ของสหรัฐฯที่เปิดให้สามารถออก Stablecoin ได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว ยังมีเหรียญ Altcoin ในกลุ่มอื่นๆที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของ Ethereum Ecosystem ที่มีโอกาสจะสร้างผลตอบแทนได้ใน Altcoin Season ที่กำลังเกิดขึ้น
Blockchain Layer2 คือเทคโนโลยีที่เข้ามาแก้ไขปัญหาของเชน Ethereum ที่มีข้อจำกัดในการขยายการใช้งาน เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมหรือค่า Gas ที่สูงกว่าเชนอื่น โดยเมื่อมีการใช้งานผ่าน Layer2 จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวของเชน Ethereum ลงไปได้
หากมีความต้องการที่จะใช้งานเชน Ethereum มากขึ้น จำนวนการทำธุรกรรมที่สูงขึ้นย่อมทำให้เกิดความต้องการที่จะต้องใช้งาน Layer2 มาแก้ไขปัญหาด้วยเช่นกันซึ่งจะส่งผลบวกต่อเหรียญในกลุ่มนี้
บล็อกเชนที่ใช้กลไก Proof of Stake จะให้ผู้ถือเหรียญสามารถนำเหรียญของเครือข่ายนั้นมาวาง Stake เพื่อเป็น Node Validator และรับผลตอบแทน เช่นเดียวกับ Ethereum ซึ่งต้องทำการ Stake บน Mainnet ของเครือข่ายโดยตรง แต่ก็มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่สามารถถอนเหรียญก่อนครบกำหนด เหรียญที่ Stake แล้วไม่สามารถนำไปใช้ทำอย่างอื่นได้และมีวงเงินขั้นต่ำในการ Stake ที่ค่อนข้างสูง
เพื่อแก้ข้อจำกัดเหล่านี้ จึงเกิดเทคโนโลยี Liquid Staking และต่อยอดมาเป็น Restaking โดย Liquid Staking คือการมีตัวกลางเข้ามารับช่วง Stake เหรียญจาก Mainnet ให้แทนผู้ใช้งาน ข้อดีคือสามารถถอนเหรียญได้ทุกเมื่อ และไม่มีข้อกำหนดวงเงินขั้นต่ำ
ขณะที่ Restaking คือการนำเหรียญที่ Stake อยู่แล้ว ไป Stake ต่อบนแพลตฟอร์มอื่นเพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มอีกชั้น ช่วยให้เหรียญที่ถูก Stake ไม่ถูกจำกัดการใช้งานเพียงอย่างเดียว
แนวโน้มของ Liquid Staking และ Restaking มีโอกาสเติบโตอย่างมากในช่วงที่ Ethereum ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันและสถาบันการเงิน โดยเฉพาะในบทบาทการเป็นสินทรัพย์รองรับการผลิต Stablecoin รวมถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงทุนใน Ethereum ETF และเหรียญอื่นๆ ที่ใช้ PoS จะได้รับผลตอบแทนจากการ Stake ไปพร้อมกัน อีกทั้งสถาบันการเงินเองก็อาจนำ Stablecoin มาลงทุนในแพลตฟอร์มเหล่านี้มากขึ้นในอนาคต
แม้ Stablecoin ที่สร้างโดยกลไกของ DeFi จะไม่นับรวมอยู่ในกฎหมาย GENIUS Act แต่มีโอกาสสูงที่แพลตฟอร์ม DeFi จะได้รับประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนระบบการเงินไร้ศูนย์กลางของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยกลุ่มที่พัฒนา Stablecoin มีโอกาสสูงที่จะเกิดการใช้งานมากยิ่งขึ้นจากกลุ่มสถาบันการเงินหรือผู้ที่ออก Stablecoin ต่างๆ
เดิมทีกลไกการทำงานของ DeFi Lending Protocol จะจำกัดอยู่เฉพาะเงินที่อยู่ในระบบของ DeFi เท่านั้น แต่การมาของกฎระเบียบที่ส่งเสริม Stablecoin และ DeFi ทำให้มีโอกาสสูงที่แพลตฟอร์ม DeFi Lending จะได้รับประโยชน์ไปด้วยจากเม็ดเงินของสถาบันการเงินรวมถึงนักลงทุนสถาบันที่จะเข้ามาใช้งาน โดยเฉพาะการใช้งานผ่าน Stablecoin ที่รับรองอย่างถูกกฎหมาย
ไม่ว่าจะเป็นการนำ Stablecoin มาเป็นหลักประกันในการกู้เงินหรือนำมาฝากไว้ในระบบเพื่อที่จะปล่อยกู้และรับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย จำนวนผู้ที่เข้ามากู้เงินด้วยระบบของ DeFi ก็จะมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้มูลค่าตลาดของ DeFi Lending จะเติบโตขึ้น
ไม่เพียงแต่เชน Ethereum ที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมาย GENIUS Act แต่เชนอื่นๆก็จะมีโอกาสได้รับประโยชน์ไปด้วยเช่นกันหากมีการพัฒนาการใช้งานที่สอดคล้องกับการใช้งาน Stablecoin และ DeFi ตลอดจน Real World Asset โดยเม็ดเงินจากสถาบันการเงินคือตัวเร่งการเติบโตตลอดจนสร้าง Use Case ที่แม้จริงให้กับบล็อกเชน
บทความนี้เป็นการอธิบายถึงแนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยี ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนแต่อย่างไร
ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บริษัท เมตาที จำกัด และ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย