Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สวัสดิการต้องรู้ สำหรับคนทำงานประจำ
โดย : ราชันย์ ตันติจินดา

สวัสดิการต้องรู้ สำหรับคนทำงานประจำ

11 ก.ค. 68
11:58 น.
แชร์

มนุษย์เงินเดือนเอกชน นอกจากสิทธิที่ต้องได้รับเงินเดือนตามวันที่ชัดเจนในจำนวนที่ตกลงกันไว้แล้ว ยังมีสิทธิหรือสวัสดิการต่างๆ ที่ต้องได้รับตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ทำให้พลาดการใช้สิทธิไปก่อนนี้ ซึ่งสิทธิหรือสวัสดิการที่ คนทำงานประจำเอกชนต้องรู้ หลักๆ ได้แก่

1.ทำงานต้องไม่เกินเวลา วันลาต้องมี

ตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดไว้ว่าในแต่ละวันชั่วโมงการทำงานของพนักงานต้องไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดขึ้นกับประเภทงาน ซึ่งโดยทั่วไปกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หากให้ทำงานเกินต้องมีความจำเป็นและมีการจ่ายค่าล่วงเวลา อย่างไรก็ตามด้วยรูปแบบการทำงาน ณ ปัจจุบันที่เป็นแบบ Work from home หรือ Hybrid Working ทำให้การวัดชั่วโมงการทำงานต่างไปจากการเข้า Office เกณฑ์ชั่วโมงการทำงานนี้ จึงอาจขึ้นกับวัฒนธรรมแต่ละองค์กร ที่เป็นที่ยอมรับทั้งของนายจ้างและพนักงาน

วันลา วันหยุด ต้องมี โดยเกณฑ์ขั้นต่ำที่ทุกบริษัทต้องมีให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานได้พักหรือทำภารกิจส่วนตัวได้อย่างเหมาะสม ได้แก่

·      ในแต่ละสัปดาห์ต้องมีวันหยุด ไม่น้อยกว่า 1 วัน (ทำงานไม่เกิน 6 วัน)

·      วันหยุดประเพณี ต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี (ที่ไม่ใช่วันหยุดประจำสัปดาห์ เช่น เสาร์-อาทิตย์)

·      เมื่อทำงานครบ 1 ปี ต้องมีวันลาพักร้อน/ลาพักผ่อน ไม่น้อยกว่า 6 วันต่อปี

·      กรณีลาป่วย ไม่ถึง 3 วัน ไม่ต้องแสดงใบรับรองแพทย์ สามารถทานยาพักผ่อนที่บ้านได้

·      ลากิจธุระส่วนตัว เช่น ติดต่อราชการ ฯลฯ ไม่น้อยกว่า 3 วันต่อปี

·      ผู้หญิง ลาคลอดบุตรได้ 98 วันต่อปี โดยนับรวมวันหยุดใดๆ ระหว่างการลาดคลอดด้วย

2.สิทธิ ของคนมีบุตร

สำหรับพนักงานที่มีบุตร นอกจากพนักงานหญิงที่มีสิทธิลาคลอด 98 วัน โดยยังได้รับเงินเดือนระหว่างที่ลาคลอดแล้ว ทั้งพนักงานหญิง และ/หรือ สามี ยังสามารถขอรับเงินจากประกันสังคมได้อีก รวม 111,000 บาท ต่อการมีบุตร 1 คน ดังนี้

  • ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงที่เป็นผู้ประกันตน เมื่อมีการคลอดบุตรสามารถ ขอรับเงิน 15,000 บาทได้ จากการคลอดบุตร 1 ครั้ง (เบิกได้ฝ่ายเดียว) โดยไม่จำกัดว่าก่อนหน้านี้จะได้รับเงินส่วนนี้มาแล้วกี่ครั้งก็ตาม
  • เบิกค่าตรวจและรับฝากครรภ์ เท่าที่จ่ายจริง จำนวน 5 ครั้ง แต่รวมทุกครั้งไม่เกิน 1,500 บาท
  • นอกจากนี้ยังสามารถนำค่าใช้จ่ายการค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร ไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 60,000 บาท เช่น คนฐานภาษี 10% สามารถลดภาระภาษีได้สูงสุด 6,000 บาท เป็นต้น

ฝ่ายหญิงที่เป็นผู้ประกันตน สามารถขอรับเงินสงเคราะห์การหยุดงาน ในอัตรา 50%ของฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท หรือสูงสุดเดือนละ 7,500 บาท เป็นเวลา 3 เดือน รวม 22,500 บาท โดยสามารถขอรับเงินส่วนนี้ได้สูงสุด 2 ครั้ง สำหรับผู้ประกันตนแต่ละคน (ต่างจากค่าคลอดบุตรที่ไม่จำกัดจำนวน)

หลังจากคลอดบุตร ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงที่เป็นผู้ประกันตน สามารถขอรับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 1,000 บาท ไปจนกว่าบุตรอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ รวมเป็นเงิน 72,000 บาท สำหรับผู้ประกันตนที่มีบุตรเล็กหลายคน ในแต่ละเดือนสามารถขอรับเงินสงเคราะห์บุตรได้ไม่เกิน 3 คน

3.เงินที่ได้ เมื่อทำงานจนเกษียณอายุ

เมื่อพนักงานทำงานจนถึงวันที่ต้องเกษียณ เช่น อายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี จะได้รับเงินจากประกันสังคมและนายจ้าง ดังนี้

1) เงินชราภาพ จากประกันสังคม โดยแบ่งรูปแบบเงินที่ได้รับเป็น 2 กรณี ขึ้นกับระยะเวลาที่จ่ายประกันสังคมมา

  • จ่ายประกันสังคมมา ไม่ถึง 180 เดือน หรือ 15 ปีเต็ม ได้รับเงินเป็นเงินบำเหน็จ (เงินก้อนครั้งเดียว) ซึ่งเป็นเงินที่เกิดจากเงินสมทบทุกเดือน จากส่วนพนักงาน 3% และส่วนนายจ้าง 3%ของฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท รวมกับผลตอบแทนที่ประกันสังคมนำเงินส่วนนี้ไปลงทุน และเงินสมทบจากรัฐบาลในบางช่วงเวลา
  • จ่ายประกันสังคมมา 180 เดือน หรือ 15 ปีเต็มขึ้นไป ได้รับเป็นเงินบำนาญ (เงินรายเดือนตลอดชีวิต) โดยจำนวนเงินบำนาญขึ้นกับเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ และระยะเวลาที่จ่ายประกันสังคม เช่น คนเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไป จ่ายประกันสังคมมา 15 ปี 20 ปี และ 39 ปี (สมมติเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 22 ปี) และได้รับเงินบำนาญเดือนละ 3,000 บาท 4,125 บาท และ 8,400 บาทตามลำดับ

2) เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ที่แม้ว่าเป็นการเกษียณอายุ แต่ถือเป็นการเลิกจ้างตามสัญญาที่ได้ตกลงกันตั้งแต่วันเริ่มทำงาน โดยเงินที่ได้รับขึ้นอยู่กับเงินเดือนและอายุงาน เช่น

  • อายุงาน ตั้งแต่ 10 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี ได้รับเท่ากับค่าจ้างหรือเงินเดือน 10 เดือนสุดท้าย (300 วัน)
  • อายุงาน 20 ปีขึ้นไป ได้รับเท่ากับค่าจ้างหรือเงินเดือน 13.3 เดือนสุดท้าย (400 วัน)

3) เงินลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับบริษัทที่มีการจัดตั้งกองทุนฯ และพนักงานเลือกเป็นสมาชิกกองทุนฯ เงินที่ได้รับจากกองทุนฯ จะมาจากเงินที่พนักงานและนายจ้างนำเข้ากองทุนฯ 2%-15%ของเงินเดือน ทุกเดือน รวมกับผลตอบแทนที่กองทุนนำเงินไปลงทุน ซึ่งเงินก้อนนี้เสมือนมีนายจ้างช่วยเก็บเงินเกษียณเพิ่มให้เราทุกเดือน

นอกจากเงิน 3 ส่วนนี้ บางบริษัทอาจมีเงินบำเหน็จ/เงินก้อนให้กับพนักงานเกษียณนอกเหนือจากที่กล่าวมา ขึ้นอยู่กับสวัสดิการแต่ละแห่ง อย่างไรก็ตาม เงินที่บริษัทให้เพิ่มนี้รวมถึงเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ถือเป็นเงินได้ที่ผู้รับต้องนำไปยื่นภาษี แต่เงินส่วนนี้ส่วนใหญ่มักเข้าเงื่อนไขการยื่นภาษีแบบ “ใบแนบ ภ.ง.ด.90/91” ทำให้ภาระภาษีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการคำนวณภาษีแบบปกติที่ใช้กับ เงินเดือน/โบนัส

4.เงินที่ได้ เมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

การถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คือ การถูกเลิกจ้างโดยพนักงานไม่ได้กระทำความผิด เช่น บริษัทมีการปรับโครงสร้าง ลดต้นทุนพนักงาน จึงมีการปลดพนักงานออก เป็นต้น โดยสิทธิที่พนักงานที่ถูกเลิกจ้างต้องได้รับ มีดังนี้

  • เงินเดือนล่วงหน้า การบอกเลิกจ้าง บริษัทต้องแจ้งภายในวันเงินเดือนออกเพื่อให้มีผลในวันเงินเดือนออกรอบถัดไป ตัวอย่างเช่น บริษัทจ่ายเงินเดือนทุกสิ้นเดือน หากมีการแจ้งปลดพนักงานออก กลาง ก.ค. 68 (ก่อนรอบจ่ายเงินเดือน ก.ค. 68) บริษัทยังมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานดังกล่าวในรอบเดือน ก.ค. และ ส.ค. 68 อยู่
  • เงินชดเชยตามกฏหมายแรงงาน จำนวนเงินที่ได้รับขึ้นอยู่กับเงินเดือนและอายุงาน ดังนี้

อายุงาน

เงินชดเชยเทียบกับค่าจ้าง/เงินเดือน

ไม่น้อยกว่า 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี

ค่าจ้าง 1 เดือนสุดท้าย (30 วัน)

1 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 3 ปี

ค่าจ้าง 3 เดือนสุดท้าย (90 วัน)

3 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 6 ปี

ค่าจ้าง 6 เดือนสุดท้าย (180 วัน)

6 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 10 ปี

ค่าจ้าง 8 เดือนสุดท้าย (240 วัน)

10 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 20 ปี

ค่าจ้าง 10 เดือนสุดท้าย (300 วัน)

20 ปีขึ้นไป

ค่าจ้าง 13.3 เดือนสุดท้าย (400 วัน)

  • เงินทดแทนกรณีว่างงาน จากประกันสังคม ซึ่งหากเป็นการถูกเลิกจ้าง สามารถขอรับเงินทดแทนได้ 50%ของฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท หรือเดือนละ 7,500 บาท ตลอดช่วงที่ว่างงาน แต่ไม่เกินปีละ 6 เดือน หรือรวมกันไม่เกิน 45,000 บาท (กรณีสมัครใจลาออก รับเงินทดแทนอัตรา 30% ไม่เกิน 3 เดือน รวมเป็นเงินไม่เกิน 13,500 บาท)

5.เงินเยียวยา เมื่อทุพพลภาพหรือเสียชีวิต

พนักงานเอกชนที่เป็นผู้ประกันตนประกันสังคม หากเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเสียชีวิต จะได้รับเงินสงเคราะห์ดังนี้

  • เงินค่าทำศพ 50,000 บาท โดยจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ
  • เงินสงเคราะห์กรณีตาย แบ่งเป็น 2 กรณี

จ่ายประกันสังคมมา ตั้งแต่ 3 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี (36 - 119 เดือน) ได้รับเงินสงเคราะห์จำนวน 2 เท่าของฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท หรือไม่เกิน 30,000 บาท

จ่ายประกันสังคมมาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ได้รับเงินสงเคราะห์จำนวน 6 เท่าของฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท หรือไม่เกิน 90,000 บาท

สำหรับกรณีประสบเหตุจนกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ จากประกันสังคม ดังนี้

  • กรณีเป็นบุคคลทุพพลภาพทั่วไป ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้อัตรา 30%ของฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท ไม่เกิน 6 เดือน หรือรวมสูงสุด 27,000 บาท
  • กรณีเป็นบุคคลทุพพลภาพรุนแรง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้อัตรา 50%ของฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท หรือสูงสุดเดือนละ 7,500 บาท ไปตลอดชีวิต

ซึ่งบุคคลทุพพลภาพรุนแรง หมายถึงบุคคลที่มือขาดทั้งสองข้างตั้งแต่ระดับข้อมือขึ้นไป

  • ขาขาดทั้งสองข้างตั้งแต่ระดับเข่าขึ้นไป
  • สูญเสียขาข้างหนึ่งระดับเหนือเข่าขึ้นไปกับขาข้างหนึ่งขาดระดับข้อเท้าขึ้นไป
  • โรคหรือการบาดเจ็บทางสมอง เป็นเหตุให้สูญเสียความสามารถของอวัยวะของร่างกายจนไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจําวันที่จําเป็นได้ และต้องมีผู้อื่นมาช่วยเหลือดูแล

นอกจากเงินทดแทนการขาดรายได้แล้ว ผู้ที่เป็นบุคคลทุพพลภาพยังได้รับเงินจากประกันสังคมเพื่อเป็นค่าบริการทางการแพทย์ โดยหากใช้บริการสถานพยาบาลรัฐสามารถเบิกได้ตามความจำเป็นและเกณฑ์ที่กำหนด แต่หากใช้บริการสถานพยาบาลเอกชนสามารถเบิกได้ ดังนี้

·      กรณีเป็นผู้ป่วยนอก ค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท

·      กรณีเป็นผู้ป่วยใน ค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท

·      รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งบุคคลทุพพลภาพกรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ เหมาจ่ายไม่เกินเดือนละ 500 บาท เป็นต้น

พนักงานประจำ มีหน้าที่ทำงานให้นายจ้างเพื่อรับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทน แต่การทำงานดังกล่าวต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย รวมถึงเหตุไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นการตกงาน ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ฯลฯ ซึ่งสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ถูกกำหนดขึ้นเพื่อปกป้องสิทธิให้กับพนักงานประจำเอกชนทุกคน

อย่างไรก็ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาจมีบริษัทบางแห่งที่อาจให้พนักงานทำงานเกินเวลาบ้าง หรือพนักงานถืองานมากจนเลือกไม่ใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปี ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หากทุกฝ่ายยอมรับด้วยความเต็มใจ เพราะหากองค์กรไปต่อไม่ได้จากพนักงานประจำที่มีเงินเดือนและสิทธิต่างๆ อาจกลายเป็นคนตกงานที่ไม่มีเงินเดือนเป็นรายได้อีกต่อไป

ราชันย์ ตันติจินดา

ราชันย์ ตันติจินดา

นักวางแผนการเงิน CFP

แชร์
สวัสดิการต้องรู้ สำหรับคนทำงานประจำ