ช่วงนี้ความสนใจจากสาธารณะพุ่งเป้าไปยังความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทั้งเรื่องของความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน อิสราเอล และสหรัฐฯ กับความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนของไทยที่กลายเป็นปัญหาใหญ่หลังจากมีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำไทยและผู้นำ (ในทางปฏิบัติ) ของกัมพูชาออกมาเผยแพร่ ทำให้บรรยากาศการลงทุนในเวลานี้อยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่า “ตึง” กันไปหมด โดยไม่ต้องพึ่งคลินิกเสริมความงามแต่ประการใด
นอกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ทุกคนถามว่าจะจบยังไงแล้วอีกคำถามหนี่งที่ได้รับมาสำหรับในโลกการเงินคือ จะวางสถานการณ์การลงทุนอย่างไรในสภาวะที่มีความขัดแย้งเช่นนี้
สำหรับคนที่มีความเข้าใจด้านประวัติศาสตร์การเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองระหว่างประเทศ เรื่องเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องยากพอสมควร เนื่องจากแต่ละประเทศมีความขัดแย้งไม่เหมือนกัน และพัฒนาการด้านการเมืองที่แตกต่างกัน ดังนั้นการวางแผนการลงทุนโดยนำปัจจัยความขัดแย้งด้านประวัติศาสตร์และการเมืองเข้ามาพิจารณาด้วยนั้น ไปไกลกว่าความรู้ในเรื่องของการเงินและความสัมพันธ์ทางสถิติในอดีตโดยทั่วไปครับ
สิ่งแรกที่อยากแนะนำสำหรับนักลงทุนทั่วไป คือการอ่านครับ แต่ไม่ใช่การอ่านปกติ ทว่าเป็นการอ่านประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศต่างๆ เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ส่วนตัวใช้เลือกอ่านคือการอ่านบทความหรือข้อเขียนของนักวิชาการที่อยู่ในภาควิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น สาขาประวัติศาสตร์ สาขาสังคมวิทยา หรือสาขารัฐศาสตร์ ที่ทำงานโดยตรง มากกว่าจะเป็นข้อเขียนจากผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง เว้นแต่ผู้ที่อยู่นอกสาขานั้นจะมีผลงานเป็นประจักษ์จากคนในสาขา (เช่น อ้างอิงบ่อยในงานวิชาการ) สาเหตุประการสำคัญอยู่ที่ว่า คนที่ทำงานโดยตรงในประเด็นดังกล่าวจะมีความเข้าใจในเรื่อง “ข้อถกเถียง” ที่อยู่ในแวดวงวิชาการโดยตรงมากกว่า ซึ่งมีความสำคัญ เนื่องจากข้อถกเถียงเหล่านี้มักเปลี่ยนแปลงได้หากค้นพบหลักฐานใหม่ หรือเมื่อบริบทและสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง
ประการถัดมาคือการกระจายความเสี่ยง นักลงทุนโดยทั่วไปมักจะมีค่านิยมแบบ “all-in” หรือใส่ลงไปทั้งหมด เปรียบเสมือนการใส่ไข่ทั้งหมดลงในตระกร้าใบเดียว ถ้าเกิดตระกร้าใบหนึ่งหล่นไข่ก็แตกทั้งหมด ดังนั้นเราไม่ควรผูกตัวเองกับสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง รวมถึงภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งด้วย กล่าวคือ เราอาจมีภูมิภาคหรือสินทรัพย์ที่เราถนัดเป็นพิเศษ (specialized) มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ต้องไม่ปฏิเสธภูมิภาคอื่นๆ ด้วย
จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน หากผู้ลงทุนมีขอบเขตการลงทุน (investment universe) ที่ไม่หลากหลายพอ เช่น มีแต่ลงทุนในจีน สหรัฐฯ หรืออินเดีย แต่เพียงอย่างเดียว เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่การลงทุนที่มีปัญหา สิ่งที่นักลงทุนโดยส่วนมากเจอคือการขายออกเพื่อหลบความเสี่ยงเข้าสู่ตราสารหนี้ แต่ที่จริงแล้วในสถานการณ์ลักษณะนี้ มักจะมีผู้รอดอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น สงครามการค้าที่เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่รอดคือกลุ่มประเทศอย่างละตินอเมริกาและออสเตรเลียที่โดนจัดเก็บภาษีต่ำสุดเพียง 10% ซึ่งหากเรากระจายการลงทุนเพียงพอ จะช่วยทำให้ลดความผันผวนในช่วงเวลาที่อาจไม่เอื้อกับการลงทุนของเราได้
ภาพที่ 1 กลุ่มประเทศที่โดนเรียกเก็บภาษีตามอัตราภาษี โดยละตินอเมริกาและออสเตรเลียถือว่าต่ำที่สุด (ที่มา: XSpring Asset Management Investment Research, White House, The Guardian, Mapchart.net)
ประการสุดท้ายคือการคิดเป็นเหตุเป็นผลและแยกเสียงรบกวนออกจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในหลายกรณีที่เราเห็นกันตามสื่อ (ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรญี่ปุ่นตัวยาว) สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรามักจะวิเคราะห์กันไปว่าอัตราพันธบัตรที่ดีดตัวสูงขึ้นนั้นจะทำให้ระบบการเงินของโลกปั่นป่วน แต่ถ้าคิดด้วยเหตุผลที่แท้จริง เงินเฟ้อญี่ปุ่นปรับขึ้น ตามมาด้วยรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น ผสมกับการลงทุนจากต่างประเทศทางตรงที่เพิ่มขึ้น และการซื้อคืนพันธบัตรระยะยาวของธนาคารกลางญี่ปุ่นลดลง ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ติดอยู่ในวงจรเงินฝืดมานานหลายปี และไม่ไปไหน พ้นจากสถานการณ์เงินฝืดกลับเข้าสู่เงินเฟ้อในที่สุด ซึ่งก็ต้องตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่ปรับตัวสูงขึ้น ตามภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่โตขึ้นในระยะยาวนั่นเอง ตลาดก็ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงเป็นธรรมดา
การแยกเสียงรบกวนในการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากจะทำให้เราไม่เสียสมาธิและเหตุผลกับการลงทุนครั้งแรกที่เราทำไป เช่นเดียวกับความขัดแย้งด้านการเมืองระหว่างประเทศ หากเราวิ่งตามสถานการณ์ความขัดแย้งและปรับเปลี่ยนการลงทุน โดยเฉพาะในยุคนี้ที่นโยบายทางการเมืองสามารถเปลี่ยนได้วันเว้นวัน ในที่สุดการลงทุนของเราก็จะไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ เผลอๆ อาจจะทำให้เราขาดทุนเนื่องจากการวิ่งตามสถานการณ์เสียด้วยซ้ำครับ
โดยสรุปแล้ว สิ่งที่นักลงทุนควรทำ คือการหาข้อมูลที่ตรงสายหรือเป็นผู้รู้จริง ตามมาด้วยการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างทั่วถึง และสุดท้ายคือใช้สติและเหตุผลในการแยกเสียงรบกวนออกจากสิ่งที่มีผลกับการลงทุนจริงๆ สามอย่างแค่นี้ก็จะทำให้เราฟันฝ่าสถานการณ์การลงทุนที่ยากลำบาก โดยเฉพาะในยุคนี้ที่การเมืองระหว่างประเทศและความขัดแย้งระหว่างประเทศชัดเจน
ผู้จัดการอาวุโส นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม เอ็กซ์สปริง จำกัด